playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Shining Girls (apple Tv+) ล่าฆาตรต่อเนื่องข้ามเวลาสุดอำมหิต (ไม่มีสปอยล์)

สรุป

ซีรีสืบสวนตามล่าฆาตกรอำมหิตข้ามศตวรรษ ใครที่ชอบแนวสืบสวนพล็อตล้ำๆ นี่ห้ามพลาด การเดินเรื่องเข้มข้น ปมซับซ้อน อาจจะชวนงงในช่วง 3 ตอนแรกบ้าง แต่ถ้าต่อติดตามเรื่องทัน นี่คือเดอะเบสของซีรีส์สืบสวนเหนือธรรมชาติเรื่องหนึ่งเลย (อาจจะมีความรู้สึกคล้ายสตีเฟนคิงอยู่บ้าง) และจบลงแบบสวยงามลงตัวมากในซีซั่นเดียวเลย

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • พล็อตสุดล้ำฆาตกรต่อเนื่องที่เดินทางข้ามเวลาได้
  • เอลิซาเบธ มอสส์ แสดงนำและกำกับเอง
  • ได้ วากเนอร์ มูร่า จาก Narcos มาเล่น
  • ตัวร้ายที่ชวนขนลุกทุกครั้งที่ออกมา
  • งานโปรดักชั่นย้อนยุคลงทุนสูง

Cons

  • การเดินเรื่องชวง 3 ตอนแรกชวนงงสุดๆ จากหลายอย่างอัดถาโถมเข้ามา (แต่ถ้าผ่านไปได้จะไม่งงแล้ว)

Shining Girls ซีรีส์สืบสวนฆาตกรต่อเนื่องของ Apple TV+ ที่พล็อตล้ำมากด้วยการให้ตัวฆาตกรมีความสามารถข้ามเวลาไปมาได้ ผลงานเรื่องนี้เป็นของนักแสดง Elisabeth Moss ที่นำแสดงควบตำแหน่งผู้กำกับเรื่องนี้ไปพร้อมกัน สร้างมาจากนิยายในชื่อเดียวกันของนักเขียนหญิง Lauren Beukes โดยนำมาทำเป็นซีรีส์ 8 ตอนจบซีซั่น

 Shining Girls (2022) on IMDb

ตัวอย่าง Shining Girls

รีวิว Shining Girls (ไม่มีสปอยล์ส่วนสำคัญ)

 

เนื้อเรื่องเริ่มจาก แดน นักข่าวสายสืบสวน (รับบทโดย Wagner Moura ที่เล่นเป็น ปาโบล เอสโกบาร์ ของซีรีส์ Narcos) กำลังทำข่าวหญิงสาวถูกฆาตกรรมปริศนา โดยมีแหล่งข่าวจากเคอร์บี้ หญิงสาวในที่ทำงานเดียวกันที่ฝันอยากเป็นนักข่าว แต่แล้วเธอกลับถูกคนร้ายลงมือทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต ทำให้เธอเริ่มเชื่อมโยงคดีฆาตกรรมหญิงสาวตายในที่ต่างๆ ที่ห่างกันหลายปี ว่าอาจจะเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่หลบซ่อนตัวมาหลายศตวรรษ และกำลังหันกลับมาตามล่าพวกเขาทั้งคู่ที่ล่วงรู้ตัวตนของมัน

ต้องบอกก่อนว่ารีวิวนี้ไม่ได้สปอยล์เรื่องฆาตกรข้ามเวลา เพราะตัวซีรีส์ไม่ได้ถูกเล่าแบบซ่อนเร้นว่าฆาตกรแต่อย่างใด เปิดมาฉากแรกของตอนแรกเราก็จะได้เห็นโฉมหน้าของฆาตกรที่เล่นโดย Jamie Bell แล้วว่าเขาข้ามเวลามาหานางเอกในวัยเด็ก ก่อนที่เรื่องราวจะกระโดดมาตอนนางเอกโตเลย แล้วก็ผ่านเหตุการณ์ร้ายๆ มาแล้ว ซึ่งคนดูที่ไม่ได้มีพื้นรู้เนื้อเรื่องนี้มาก่อนก็อาจจะงงๆ เพรราะตัวเรื่องไม่ได้บอกเล่าอะไรออกมาชัดเจนเลยว่า นางเอกเป็นอะไร โดนใครทำร้าย และตัวร้ายที่ออกมาตลอดตั้งแต่ต้นเป็นใคร มีพลังอะไร นอกจากนี้เรื่องยังเล่าแบบตัดสลับช่วงเวลาของตัวละครทับกันไปในตอนแรกแบบ เปิดมาตอนเริ่มอาจจะเป็นตอนท้ายของตอนนั้นที่ตัวละครในตอนนั้นจะกระทำลงไป ซึ่ง 3 ตอนแรกของซีรีส์เรื่องนี้อาจจะทำให้คนดูที่จับต้นชนปลายไม่ถูกเทไปเลยก็ได้ เพราะการเดินเรื่องที่นอกจากจะชวนงงแล้วยังไม่ได้เร่งรีบอะไรมาก เหมือนค่อยๆ เล่าชิ้นส่วนที่แตกกระจายหลายชิ้นมาให้คนดูประกอบมันด้วยตัวเอง ซึ่งใครประกอบได้ก็สนุกไปเลย แต่ถ้าใครปวดหัวก็อาจจะมีเทแน่นอน

นอกจากนี้แล้วเรื่องยังมีปริศนาบางอย่างที่เกิดกับตัวเอกเคอร์บี้ตลอดเวลา คือนางเอกจะมีแบ็คกราวด์ชีวิตที่เปลี่ยนเองไปเรื่อยๆ โดยที่ความทรงจำเดิมของเธอยังอยู่ แต่สิ่งต่างๆ ที่พักอาศัย คนใกล้ พวกนี้จะถูกเปลี่ยนไปทันทีระหว่างเดินเรื่อง ยกตัวอย่างนางเอกมีแมวตัวหนึ่ง พอกลับบ้านมาอีกวันกลายเป็นหมา หรือกลับมาแล้วห้องพักที่เคยอยู่กลายเป็นของคนอื่น ซึ่งอะไรเหล่านี้แปลกประหลาดมาก และตัวนางเอกเองก็ไม่ได้จะเสียสติไปกับเรื่องพวกนี้ด้วย เธอมีสมุดบันทึกเล่มหนึ่งที่คอยจดทุกอย่างในชีวิตลอดเวลา เหมือนกับรับมือเรื่องแบบนี้มาตลอดโดยที่ไม่ได้เป็นบ้าไปซะก่อน ซึ่งปริศนาตรงจุดนี้ถูกปล่อยมาตั้งแต่แรกทำให้เรื่องที่ชวนงงอยู่แล้วยังงงเบิ้ลขึ้นไปอีกชั้น

แต่ปริศนาที่เยอะขนาดนี้ถ้าคนดูสายที่ค่อยๆ ขบคิดต่อติดเรื่องได้แล้วล่ะก็ นี่คือซีรีส์สืบสวนที่เหนือล้ำกว่าเรื่องไหนมาก เพราะแค่การคิดว่าตัวร้ายมีความสามารถเหนือมนุษย์ขนาดนั้น คนธรรมดาแค่สองคนจะสู้ได้อย่างไร อันนี้คือความสนุกของเรื่องที่ต้องชมคนเขียนบทเลย เพราะเรื่องนี้เดินเรื่องโดยใช้สกิลสืบสวนของนักข่าวอย่างแดน ที่ค่อยๆ ปะติดปะต่อตามรอยต่างๆ ร่วมกับนางเอกที่ตกเป็นเหยื่อโดยตรง แล้วค่อยๆ ตามรอยจนเจอ พร้อมทั้งเปิดโปงเป็นข่าวใหญ่ ทำให้การปกปิดตัวเองของฆาตกรถูกทำลายลงไปจากการรับรู้ของสังคม ซึ่งถ้าใครเคยอ่านการ์ตูนโจโจล่าข้ามศตวรรษมาก่อน ในภาค 4 ที่มีฆาตกรซ่อนอยู่ในเมืองเล็กๆ มีพลังพิเศษเกี่ยวกับเวลา เรื่องนี้ก็คล้ายๆ โจโจภาคนี้เลยเช่นกัน เพราะตัวฆาตกรเองมีนิสัยเงียบๆ ไม่เด่น เป็นเหมือนคนธรรมดาที่ทุกคนมองข้ามเขาไปได้ แต่นี่คือฆาตกรที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์เกินกว่าที่ใครจะเชื่อได้ นอกจากนี้เรื่องยังสนุกจากการที่ตัวร้ายมีความสามารถพิเศษ แต่ก็ต้องแลกกับการทำอะไรบางอย่างในการฆ่าเหยื่อ เป็นซิกเนเจอร์ที่เชื่อมโยงเรื่องราวกับห้วงเวลาต่างๆ เข้าเป็นเรื่องราวเดียวกัน

ตัวฉากฆาตกรรมในเรื่องนี้ค่อนข้างโหดมาก ฉากฆ่าอาจจะไม่ได้ให้เห็นตรงๆ เพราะฆาตกรมีวิธีฆ่าเป็นเอกลักษณ์บางอย่าง ซึ่งผู้เขียนสปอยล์ไม่ได้เพราะเกี่ยวพันกับเรื่องราวโดยตรง แต่ก็ทำให้ศพในเรื่องตายโหด แล้วก็มีฉากเห็นศพพวกนี้อยู่หลายครั้ง ถือเป็นซีรีส์ที่มีมีความรุนแรงติดเรตสูงมากๆ ของแอบเปิลทีวีเลย

ด้านนักแสดงอย่างเอลิซาเบธ มอสส์ เธออาจจะไม่ได้สวยตามสไตล์บทนางเอกที่ตกเป็นเหยื่อฆาตกรรแบบเรื่องอื่นๆ  แถมยังเป็นผู้หญิงเชยๆ ไม่เข้าสังคม แต่นั่นก็คือบุคลิกของคาแรกเตอร์ที่ตรงกับเรื่องเลย เพราะนางเอกคือคนเดียวที่รอดชีวิตจากฆาตกร เธอจึงพยายามทุกอย่างเพื่อให้ดูไม่เตะตา ไม่เข้าสังคมกับใคร ซึ่งส่งผลให้เรื่องราวดูน่าเชื่อถือกว่า แต่ถ้าใครเน้นหน้าตานักแสดงก็อาจจะขัดใจกับตรงนี้มากอยู่เหมือนกัน (เพราะมันผิดรูปลักษณ์กับเรื่องอื่นแนวนี้เลย)

วากเนอร์ มูร่า ที่เล่นเป็นนักข่าวนี่ก็เป็นการเปลี่ยนบทบาทไปมากแบบที่หลายคนน่าจะแทบจำไม่ได้ เพราะบทที่ผ่านมาเขาจะแสดงแนวโหดๆ พ่อค้ายา มาเฟีย ไว้หนวดเข้ม แต่มาเรื่องนี้คือนักข่าวที่มีสกิลสืบสวนชั้นยอด เรื่องราวก็ลงลึกถึงขั้นตอนการทำข่าวในยุคก่อนที่หนังสือพิมพ์ยังมีอิทธิพลกว่าสื่ออื่น ซึ่งเรื่องลงลึกถึงขั้นตอนการทำงานของนักข่าวแบบรอบคอบมากทุกจุด โดยหลักฐานละเอียดยิบ ซึ่งนักแสดงก็ตีบทนี้แตกสุดๆ โดยที่ยังมีเรื่องปัญหาส่วนตัวที่เขาติดเหล้าเข้ามาเกี่ยวด้วย (ส่วนหนึ่งที่ตีบทแตกน่าจะเพราะตัววากเนอร์ มูร่าเองก็ทำอาชีพนักข่าวมาก่อนด้วย)

เจมี เบลล์ ฆาตกรตัวร้ายของเรื่องก็แสดงได้อย่างน่าขนลุกมากทุกฉากที่เขาออกมาใกล้ชิดกับตัวละครอื่นๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร ณ ตอนนั้น จากการกระทำแปลกๆ คำพูดแปลกๆ ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ซึ่งเรื่องได้โชว์ความสามารถอย่างการล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ รอบตัวเขาที่เกิดขึ้นให้คนอื่นได้เห็น แทนที่จะดูน่าทึ่ง แต่มันกลับน่ากลัวมากกว่าว่าเขารู้ได้อย่างไร ประกอบกับท่าทางบุคลิกแบบที่ไม่น่าไว้ใจตลอดเวลา เจมี่แสดงเป็นฆาตกรเหนือมนุษย์ที่ส่งให้เรื่องนี้ได้อารมณ์น่ากลัวมากขึ้นไปอีกหลายเท่าเลย

 

ติดตามอ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์ใน Apple TV+ คลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!