playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Creator กลมกล่อมทั้งพาร์ทดราม่าและแอ็กชั่นในโลกไซไฟสดใหม่ของไทย (ไม่สปอยล์)

The Creator

Summary

สรุปนี่เป็นผลงานไซไฟที่ไม่ควรพลาด ไม่ใช่แค่เพราะถ่ายทำในไทย แต่นี่คือหนังเนื้อเรื่องออริจินัลสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และทำออกมาได้ดีมาก เข้ากับปัญหาสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน ทั้งสงครามภูมิรัฐศาสตร์ตะวันตกกับตะวันออกและความก้าวหน้าของ AI ที่กำลังมาแย่งงานมนุษย์ เนื้อเรื่องมีความกลมกล่อมลงลึกทางอารมณ์ให้แง่คิดได้ตลอดเรื่อง บอกเล่าควบคู่กันทั้งพาร์ทดราม่าและฉากแอ็กชั่นได้เป็นอย่างดี นักแสดงหลักที่มีเสน่ห์ โดยเฉพาะการแสดงของน้อง Madeleine Yuna Voyles ที่เล่นได้จับใจมาก แม้การตัดต่อจะมีปัญหาที่ข้ามบางช่วงไป แต่รวมๆ ก็ไม่ทำให้เสียหายกับเนื้อเรื่อง เชียร์ให้ไปดูกัน เพราะนี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญทั้งกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวไทยและกับฮอลลีวู๊ดในทิศทางงานสร้างทุนต่ำ (80 ล้านเหรียญสหรัฐ) แต่ได้ผลลัพธ์อลังการเกินคาดมากครับ 

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • ถ่ายทำในไทยเน้นฉากจริงมากกว่า CG
  • เซ็ตโลกไซไฟขึ้นมาใหม่หมดในแบบเอเชียชนบท
  • ทุนสร้างต่ำ แต่งานออกมาดูอลังการ
  • นักแสดงเด็กเยี่ยมยอดมาก
  • ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer
  • เนื้อเรื่องกลมกล่อมทั้งดราม่าและแอ็กชั่น

Cons

  • เนื้อเรื่องยังเล่าแบบตามสูตรเบสิค
  • บางช่วงมีการตัดข้ามฉากไปมาก
  • ภาพในเรื่องไม่ได้มีมิติมากจากการใช้กล้องเล็ก

The Creator ผลงานของผู้กำกับ เรื่องราวของโลกในอนาคตปี 2070 ที่ AI กับมนุษย์ผสานใช้ชีวิตกันในโลกปกติ แต่แล้วก็เกิดเหตุหัวรบถล่มลอสแอนเจลิสผู้คนเสียชีวิตนับล้าน และถูกเปิดเผยว่าเป็นฝีมือของ AI ทำให้อเมริกาตัดสินใจทำสงครามกวาดล้างให้หมด แต่ทางเอเชีย AI ยังอยู่ร่วมกับผู้คนเป็นปกติ และมีผู้สร้าง เนอร์มาตา (Nirmata) ที่เป็นเหมือนพระเจ้าที่สร้าง AI ออกมาช่วยเหลือผู้คน จึงทำให้อเมริกาบุกจู่โจมค้นหาจัดการ  เนอร์มาตา โดยมี โจชัว อดีตทหารหน่วยรบพิเศษที่ต้องมาพบกับอาวุธสุดยอดของ AI ในรูปร่างของเด็ก…
The Creator (2023) on IMDb

 

รีวิว The Creator (ไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญ)

หนังไซไฟที่คาดว่าจะเป็นปรากฎการณ์แห่งปี โดยมีทุนสร้างเพียงแค่ 80 ล้านเหรียญ ผู้กำกับเป็นคนเขียนบทในไทย ถ่ายทำในไทย 80%  โดยใช้ฉากจริงเป็นหลัก CG เป็นแค่ส่วนประกอบ ทำให้โลกในเรื่องนี้มีความเป็นไซไฟไทยสูงมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาเลย มีส่วนผสมของอารยธรรม เครื่องแต่งกาย  วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม การใช้ชีวิตของผู้คนแบบชนบท การใช้ภาษาไทยกลางกับภาษาอีสานแทรกมาตลอดเรื่อง ทั้งหมดนี้ถูกทำให้เสมือนเป็นอนาคตที่เป็นไปได้จริงของไทยที่คงทิ้งสิ่งพวกนี้ไปไม่ได้ แต่เป็นการรับสิ่งใหม่ผสานเข้ามาในโครงสร้างเดิม (คงไม่มีใครไปทุบวัดได้ หรือเปลี่ยนวิถีชีวิตคนอีสานกับท้องทุ่งไปได้หมด) เรียกว่าให้เต็ม 10 ได้เลยกับการสรรค์สร้างโลกไซไฟแบบนี้ขึ้นมา ซึ่งแม้จะมีการอ้างอิงว่าเป็นหนังสงครามแบบ Apocalypse Now ผสม Blade Runner ออกแนวไซเบอร์พังค์ แต่ความจริงก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว เพราะความเป็นเอเชียเต็มๆ (ในเรื่องเรียกทวีป นิวเอเชีย) ซึ่งที่มาจริงที่ผู้กำกับบอกไว้คือ Baraka ในปี 1992  ของรอน ฟริค เป็นสารคดีที่ไม่มีบทพูดเลย มีแต่ภาพวัฒนธรรมการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลก มาเป็นแรงบันดาลใจหลักของหนังเรื่องนี้  (อ่านบทความเบื้องหลังคลิกที่นี่)

“นอกเหนือจากการที่สตูดิโอสามารถทำรายได้จากหนังเรื่องนี้ล่ะก็ ผมหวังลึก ๆ ว่า พวกเราจะทำให้คนได้รู้จักและชม Baraka มากขึ้น” 

 

เนื้อเรื่องเน้นหนักไปที่ฉากดราม่าตัดสลับฉากแอ็กชั่นสงคราม ซึ่งในส่วนดราม่าก็คือเรื่องราวของโจชัวในอดีตที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไปกับ AI ทำให้เขามองว่าเป็นภัยร้ายของมนุษย์ชาติจริง ใช้ชีวิตแบบไม่แยแสใคร จนได้มาพบกับอัลฟี่ หุ่นเด็ก AI เป้าหมายของภารกิจที่ทำให้เขาได้มุมมองในชีวิตใหม่เปลี่ยนไปหลังต้องพาเธอผจญภัยหนีไปเรื่อยๆ โดยมีปริศนาของโศกนาฎกรรมในอดีตซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเมื่อความลับเปิดเผยแล้ว ทำให้เขาต้องตัดสินใจครั้งใหญ่กับสงครามของมนุษย์ชาตินี้ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นพล็อตเบสิคก็จริง แต่หนังก็ทำได้กลมกล่อม มีครบทุกอารมณ์ ความรัก ความผิดหวัง การโหยหา ความตาย โดยค่อยๆ ใส่เรื่องราวต่างๆ เข้ามาโดยมีบทแบ่งคั่นเนื้อเรื่องเป็นพาร์ทอย่าง เด็กน้อย เพื่อน ฯลฯ ซึ่งตัวนักแสดง John David Washington แสดงบทเหล่านี้ได้ดีตามมาตรฐาน แต่ที่โดดเด่นมีเสน่ห์มากคือ Madeleine Yuna Voyles นักแสดงเด็กหญิงวัย 7 ขวบ มีเชื้อสายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ลูกครึ่งไทยลาวและกัมพูชา) และเยอรมันอเมริกัน บทอัลฟี่ของเธอคู่กับโจชัวไปตลอดเรื่อง และก็แสดงอารมณ์หลากหลายความรู้สึกได้อย่างน่าทึ่งมาก ยิ่งตอนท้ายเรื่องนี่คือบีบหัวใจผู้ชมทุกคนได้แน่นอน

ฉากแอ็กชั่นสงครามก็มีมาตลอดเรื่องเคียงคู่ไปกับฉากดราม่า เพราะถูกวางเหตุการณ์ไว้เป็นการไล่ล่าในไทยจากหมู่บ้านเล็กๆ ในชนบทที่ซ่อนอัลฟี่ไว้ ก่อนเดินทางเข้าเมือง แล้วก็ไปต่อยังย่านชุมชนชนบทจนถึงวัดบนภูเขาในไทย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ตัวร้ายคือกองทัพอเมริกาบุกรุกเข้ามาโดยตรง เป็นเสมือนปฏิบัติการณ์ลับแบบการจับบินลาเดน ซึ่งทำให้มีการปะทะกับตำรวจไทยในเวลานั้นที่เป็นทั้งคนกับ AI ร่วมมือกัน และทางการของไทยก็ไล่ตามการหลบหนีของตัวเอกโจชัวกับอัลฟี่ไปด้วย โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยอัลฟี่เพราะเข้าใจว่าโจชัวคือทหารอเมริกันที่มาตามภารกิจ ในขณะที่อเมริกาเองก็รู้ว่าโจชัวหลบหนีเสมือนถูกหักหลังจึงไล่ล่าเขาซ้อนไปด้วย ซึ่งมีทั้งฉากการไล่จับเล็กๆ จากตำรวจไปจนถึงกองทหารขนาดใหญ่ของอเมริกาที่บุกแบบไม่เกรงใจใครอีกแล้ว แล้วก็ยังมีฉากสุดท้ายที่เป็นฉากใหญ่สุดของสงครามบนอวกาศอีก ซึ่งทำได้อลังการมาก แต่ฉากแอ็กชั่นทั้งหมดในเรื่องจะไม่ถึงกับทำให้ตื่นเต้นได้จนสุดทางนัก เพราะต้องเล่นอารมณ์ดราม่าอยู่ด้วยตลอด แต่ก็ถือว่าผ่านเลยสำหรับผู้ชมที่เน้นฉากแอ็กชั่นครับ 

จุดด้อยของเรื่องที่เห็นคือการตัดต่อบางช่วงที่ฉากขาดความต่อเนื่อง อย่างโจชัวในสภาพทหารฉากหนึ่ง ก่อนที่จะตัดภาพข้ามๆ โผล่มาอีกฉากเหมือนผ่านมาเป็นเดือน ซึ่งผู้กำกับบอกว่าต้นฉบับมีความยาว 5 ชั่วโมงแต่ถูกตัดเหลือ 2 ชั่วโมง ซึ่งทำให้การเล่าเรื่องหลายจุดถูกตัดข้ามไป ทั้งๆ ที่มีช่วงเวลาที่ปูพื้นเล่าเรื่องความสัมพันธ์ได้มากกว่านั้น จนอยากเห็นต้นฉบับตัดต่อใหม่ที่เล่าเรื่องได้ยาวกว่านี้ครับ

 

อีกจุดก็คืองานภาพที่สวยจากทิวทัศน์ แต่มิติต่างๆ จะไม่เท่ากล้องใหญ่เพราะผู้กำกับเลือกวิธีการถ่ายแบบกองเล็ก คนน้อย กล้องเบา (ใช้กล้องโซนี่  Sony FX3 ในอัตราส่วน 2.76 : 1 ภาพยาวกว่าปกติ) ซึ่งเป็นข้อจำกัดทางเทคนิคเองเพื่อให้ได้ผลงานในระดับทุนสร้างต่ำที่คุ้มค่ากว่า

 

ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer โดดเด่นแบบในตัวอย่างที่ได้ชมไป แต่ที่เหลือก็ไม่ถึงกับติดหูประทับใจมากนัก

 

สรุปนี่เป็นผลงานไซไฟที่ไม่ควรพลาด ไม่ใช่แค่เพราะถ่ายทำในไทย แต่นี่คือหนังเนื้อเรื่องออริจินัลสร้างโลกของตัวเองขึ้นมาใหม่ทั้งหมด และทำออกมาได้ดีมาก เข้ากับปัญหาสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน ทั้งสงครามภูมิรัฐศาสตร์ตะวันตกกับตะวันออกและความก้าวหน้าของ AI ที่กำลังมาแย่งงานมนุษย์ เนื้อเรื่องมีความกลมกล่อมลงลึกทางอารมณ์ให้แง่คิดได้ตลอดเรื่อง บอกเล่าควบคู่กันทั้งพาร์ทดราม่าและฉากแอ็กชั่นได้เป็นอย่างดี นักแสดงหลักที่มีเสน่ห์ โดยเฉพาะการแสดงของน้อง Madeleine Yuna Voyles ที่เล่นได้จับใจมาก แม้การตัดต่อจะมีปัญหาที่ข้ามบางช่วงไป แต่รวมๆ ก็ไม่ทำให้เสียหายกับเนื้อเรื่อง เชียร์ให้ไปดูกัน เพราะนี่จะเป็นหมุดหมายสำคัญทั้งกับซอฟท์พาวเวอร์การท่องเที่ยวไทยและกับฮอลลีวู๊ดในทิศทางงานสร้างทุนต่ำ (80 ล้านเหรียญสหรัฐ) แต่ได้ผลลัพธ์อลังการเกินคาดมากครับ 


including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!