playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวซีรีส์ The Lost Flowers of Alice Hart เนื้อเรื่องดี งานภาพสวย แต่เดินเรื่องอืด…

The Lost Flowers of Alice Hart

Summary

โดยรวมเป็นซีรีส์ที่มีจุดดีมากมาย เนื้อเรื่องที่ซ่อนบาดแผลความลับหลายอย่างของผู้หญิงที่ถูกผู้ชายกระทำ และส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อมากับชีวิตคนในรุ่นหลัง การได้ ซิกเกอร์นี่ วีเวอร์ มาเล่นในบทแกนหลักความลับของเรื่องที่เธอทำได้ยอดเยี่ยมมาก ฉากดอกไม้กับทิวทัศน์สวยๆ ของออสเตรเลียที่ถ่ายทำได้ออกมาได้งามเหมือนสารคดี ติดเพียงแค่การดำเนินเรื่องที่ช้ามากจนเกินไป และนักแสดงอลิซตอนเด็กกับตอนโตแตกต่างกันมากไปจนทำให้ขาดความกลมกลืนเท่านั้นครับ

 

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • สร้างจากนิยายดัง
  • เรื่องราวมีปริศนาเยอะ
  • ซิกเกอร์นี่ วีเวอร์ แสดงนำ
  • งานภาพสวยในแบบศิลปะ
  • ประเด็นความรุนแรงที่เกิดกับผู้หญิง

Cons

  • การเดินเรื่องช้าจนเข้าขั้นอืด
  • นักแสดงอลิซตอนเด็กกับตอนโตแตกต่างกันมาก

The Lost Flowers of Alice Hart ดอกไม้ที่หายไปของอลิซ ฮาร์ต ซีรีส์ amazon prime video แนวดราม่า 7 ตอนจบสร้างจากนิยายดังในชื่อเดียวกัน เมื่ออลิซวัย 9 ขวบต้องสูญเสียพ่อแม่ไปอย่างน่าเศร้าในเหตุเพลิงไหม้ลึกลับ เธอถูกพาไปอาศัยอยู่กับยายของเธอจูนที่ฟาร์มดอกไม้ธอร์นฟิลด์ ซึ่งเธอได้รู้ว่ามีความลับในความลับเกี่ยวกับอดีตของเธอและครอบครัวของเธอ เรื่องราวท่ามกลางภูมิประเทศที่เป็นธรรมชาติและสวยงามตระการตาของออสเตรเลีย พร้อมด้วยดอกไม้ป่าและพืชพื้นเมืองเป็นช่องทางในการถ่ายทอดเรื่องราวที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้
The Lost Flowers of Alice Hart (2023) on IMDb

รีวิว The Lost Flowers of Alice Hart (ไม่มีสปอยล์)

 

ซีรีส์จากออสเตรเลียที่ได้ ซิกเกอร์นี่ วีเวอร์ มาเป็นตัวละครหลัก แต่เธอไม่ใช่ตัวเดินเรื่องหลักโดยตรง ตัวหลักคือตัวละครที่ชื่อ อลิซ ฮาร์ต ตามชื่อเรื่อง ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้เป็นการเล่าชีวิตลึกลับของเธอตั้งแต่เด็กจนโต โดยแบ่งเรื่อง 3 ตอนแรกเป็นวัยเด็ก 9 ขวบ แสดงโดย Alyla Browne 4 ตอนหลังเป็นวัยผู้ใหญ่ แสดงโดย Alycia Debnam-Carey ซึ่งเรื่องราวตอนเด็กกับตอนโตมีความแตกต่างกันมาก โดยตอนเด็กคือเรื่องของเธอที่อยู่ในเมืองเล็กๆ ห่างไกลจากฟาร์มดอกไม้ และก็เป็นการเล่าเรื่องถึงเหตุการณ์ไฟไหม้ลึกลับกับเสียงที่หายไปของเธอหลังจากเหตุการณ์นั้น ซึ่งมีฉากแห่งความรุนแรงในครอบครัวฉายให้เห็นตลอดทั้ง 3 ตอน ซึ่งเรื่องราวค่อนข้างลึกลับ เพราะเป็นการเล่าเรื่องแบบมีปริศนาเล็กๆ ที่ไม่อธิบายทิ้งไว้มากมาย ส่วนตอนโตคือช่วงที่จะเฉลยความลับต่างๆ เป็นการเดินทางของอลิซตอนโตไปยังที่ต่างๆ และพบเจอกับประสบการณ์ชีวิตใหม่นอกฟาร์มดอกไม้ แต่ชีวิตก็เหมือนวนกลับไปหาเรื่องราวแบบที่เธอเคยเจอตอนเด็กอีกครั้ง 

 

ตัวเรื่องถูกแบ่งครึ่งเล่าเรื่องต่างกัน แต่ก็มีตัวละคร จูน ที่แสดงโดย  ซิกเกอร์นี่ วีเวอร์  มาเป็นตัวเชื่อมเรื่องราวกับตัวละครอื่นๆ ทั้งหมดในเรื่องอีกที ซึ่งจูนคือตัวละครที่เก็บความลับของเรื่องไว้ทั้งหมด แม้บทจะไม่ออกมากเท่ากับอลิซทั้งสองคน และก็เหมือนตัวร้ายของเรื่องไปด้วย แต่ก็เป็นตัวละครที่ดึงดูดให้ดูเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะนี่คือเรื่องของเธอด้วยเช่นกัน ซึ่งปริศนาต่างๆ ก็มาจากปมบาดแผลในอดีต ที่ทำให้เธอสร้างฟาร์มดอกไม้ที่มีแต่คนงานผู้หญิงที่มีบาดแผลทางจิตใจจากการถูกผู้ชายทำร้ายเข้ามาทำงาน เป็นเหมือนที่กบดานและพักใจ ซึ่งตัวเรื่องได้ผูกปริศนาโยงใยกันไว้มากมายผ่านบาดแผลของจูน ที่ภายนอกดูเป็นผู้หญิงแกร่ง (เป็นเลสเบียนด้วย) แต่แท้ที่จริงก็อาจจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น

 

ซีรีส์ใช้ดอกไม้และพืชพื้นเมืองมาเป็นตัวแทนคำบอกเล่าต่างๆ เป็นภาษาดอกไม้ที่ตัวละครในฟาร์มจะเข้าใจกัน พร้อมทั้งการจัดวางสวยๆ ทำให้ดูเป็นงานศิลป์สวยงาม รวมกับภาพทิวทัศน์สวยๆ ของออสเตรเลียที่ถ่ายทำแสงสีออกมาได้สวยงามมากด้วย นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้โดดเด่นขึ้นมาอีกระดับ เป็นผลงานที่สวยอันดับต้นๆ ของซีรีส์ใน Prime เรื่องหนึ่งเลย

แต่ถึงเรื่องจะมีจุดดีหลายอย่าง แต่จุดด้อยของเรื่องก็ค่อนข้างหนักเช่นกัน เพราะนี่เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องแบบช้าๆ สโลว์เบิร์นมาก ยกตัวอย่างในช่วงแรกต้องดูไปจนถึงตอนจบของ EP2 ถึงจะเข้าใจเรื่องราวปริศนาบางอย่าง ซึ่งปริศนาทั้งหมดในเรื่องค่อนข้างเยอะ แต่เล่าออกมาช้ามากๆ จนทำให้เรื่องค่อนข้างอืด ไม่ใช่ซีรีส์ที่เหมาะกับผู้ชมใจร้อนอย่างแน่นอน 

อีกจุดที่มีปัญหาคือนักแสดงตอนเด็กกับตอนโตแตกต่างกันมาก แม้จะมีความพยายามทำให้ทั้งคู่ดูกลมกลืนกัน แต่มันกลับดูแปลกแยก ตอนเด็กนักแสดงดูมีบทที่ดีกว่าในแบบไม่มีเสียงพูดออกมา รวมถึงความเป็นเด็กที่ถูกกระทำจนผู้ชมต้องรู้สึกสงสารด้วย แต่พอเรื่องตัดมาตอนโตเลย กลับเป็นสาวที่มีบุคลิกใจแตกโดดจากตอนเด็กไปแบบคนละเรื่อง แม้จะพอเข้าใจได้ว่ามาจากการเลี้ยงดูที่เข้มงวดควบคุมของจูน และความลับแรกที่เปิดเผยออกมาทำให้เธอเหมือนหนีออกจากบ้านในทันที แต่โทนเรื่องก็วนกลับไปให้เธอพบความรุนแรงจากผู้ชายที่หลงรักในไม่นาน ซึ่งทำให้เรื่องช่วงหลังคาดเดาได้ง่าย แค่รอดูความลับที่เรื่องปกปิดไว้มากกว่า แต่ก็ไม่ถึงกับเซอร์ไพรซ์มากเช่นกัน จนทำให้เรื่องจบลงแบบเรียบๆ มากกว่าตอนแรกที่เปิดตัวด้วยเหตุการณ์ไฟไหม้ที่ดูพิศวงกว่าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับครอบครัวนี้

 

โดยรวมเป็นซีรีส์ที่มีจุดดีมากมาย เนื้อเรื่องที่ซ่อนบาดแผลความลับหลายอย่างของผู้หญิงที่ถูกผู้ชายกระทำ และส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อมากับชีวิตคนในรุ่นหลัง การได้ ซิกเกอร์นี่ วีเวอร์ มาเล่นในบทแกนหลักความลับของเรื่องที่เธอทำได้ยอดเยี่ยมมาก ฉากดอกไม้กับทิวทัศน์สวยๆ ของออสเตรเลียที่ถ่ายทำได้ออกมาได้งามเหมือนสารคดี ติดเพียงแค่การดำเนินเรื่องที่ช้ามากจนเกินไป และนักแสดงอลิซตอนเด็กกับตอนโตแตกต่างกันมากไปจนทำให้ขาดความกลมกลืนเท่านั้นครับ

 


including other English reviews

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!