playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Wandering Earth หนังแอ็กชั่นไซไฟสุดทะเยอทะยานจากแดนมังกร

สรุป

หนังฟอร์มไซไฟฟอร์มยักษ์ชั้นดีจากจีน ที่หาดูตามโรงไม่ได้ มีแค่ที่ Netflix นี้เท่านั้น!

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • แอ็กชั่นดราม่าลงตัวแอบมีเสียน้ำตา
  • พล็อตทะเยอทะยานล้ำมาก
  • เอฟเฟ็กต์ซีจีเนียนไม่ขัดตา
  • หนังกู้โลกจากมุมมองเอเชีย
  • หนังไม่อวยจีนเหมือนฝั่งอเมริกา!

Cons

  • แนวหนังไม่แปลกใหม่นัก
  • หนังจงใจตัดบทอเมริกาออกชัดเจน
  • พล็อตหลักดูเว่อร์เกินความจริง

The Wandering Earth หนังบน Netflix โปรเจ็กต์อลังการงานสร้างของจีน ที่มีบริษัทหนังของแจ๊คหม่า Alibaba Picture ร่วมทุนด้วย หนังสร้างจากนิยายได้รางวัล Hugo ระดับนานาชาติ จากผู้เขียน Liu Cixin ซึ่งการันตีได้เลยว่า หนังแอ็กชั่นไซไฟเรื่องนี้เขียนบทอิงกับฟิสิกส์ความเป็นไปได้ทางวิทยาศาสตร์ และยังเป็นเรื่องไม่ไกลเกินยุคในปัจจุบันอีกด้วย

  • คำเตือน The Wandering Earth ไม่ควรเปิดซับไทยเด็ดขาด เพราะแปลผิดพลาดมาก แนะนำพากย์ไทย หรือเสียงจีน ซับอังกฤษ เท่านั้น

jupiter on the wandering earth
พายุบนดาวพฤหัสที่มองเห็นจากบนโลกด้วยตาเปล่า

หนังเริ่มมาเปิดตัวด้วยการเล่าถึงหายนะที่ค่อยๆ คืบคลานมาจากการที่ดวงอาทิตย์เสื่อมสภาพ แม้ว่ามนุษย์ชาติจะเห็นสัญญาณเตือนมาเรื่อยๆ ก็ไม่ได้ตะหนักพอเหมือนโลกร้อน ก็กลายเป็นว่าหายนะนั้นมาไวกว่าที่คิด ทำให้ทั้งโลกต้องร่วมมือกันตั้งรัฐบาลโลก และผลักดันโปรเจ็กต์ช่วยมวลมนุษย์ชาติที่ชื่อ The Wandering Earth (ดาวโลกเร่ร่อน) เป็นการติดเครื่องยนต์ขับเคลื่อนจำนวน 10,000 ตัว ผลักให้โลกเดินทางหลุดพ้นจากโซล่าซิสเต็มนี้ แล้วไปเริ่มต้นที่ระบบใหม่ไกลออกไป 4.2 ปีแสง เป็นการเดินทาง 2,500 ปี หลายชั่วอายุคน โดยมีสถานีอวกาศนำร่องล่วงหน้าไปก่อน 1 แสนกิโลเมตร เพื่อรายงานและส่งข้อมูลกลับมาให้โลกได้รับทราบล่วงหน้า แต่การจะออกจากระบบสุริยะได้ ต้องอาศัยแรงส่งจากดาวพฤหัสด้วยถึงหลุดพ้นได้ ทำให้โลกต้องมุ่งหน้าไปที่ดาวพฤหัส ก่อนจะเกิดเหตุไม่คาดคิดนอกแผนตามมา

The Wandering Earth รีวิว
โลกที่ถูกแรงดึงดูดของดาวพฤหัสจนเกิดชั้นบรรยากาศดึงดูดเข้าหากัน

นอกจากโครงเรื่องไซไฟหลักแล้ว หนังก็มาเน้นที่ความสัมพันธ์ของครอบครัวพ่อลูกที่เป็นตัวเอก ที่คนพ่อต้องทิ้งลูกมาปฏิบัติภารกิจอยู่บนสถานีอวกาศยาวนานเกือบ 20 ปี ทิ้งให้ลูกชายดำเนินชีวิตในโลกใต้ดิน ที่เป็นเมืองหลบภัยของมนุษย์ชาติจนกว่าจะถึงจุดหมาย ซึ่งโลกด้านล่างนี้ก็ไม่ได้น่าอยู่นัก (แนวจำลองโลกจริงในอดีตแต่ดูแออัดยัดเยียด) ตัวเอกลูกชายที่อยู่ใต้โลกมาแทบทั้งชีวิต จากที่ได้ตั๋วผู้อพยพพิเศษชั้นใต้ดินจากพ่อตั้งแต่ 4 ขวบ โดยมีปู่มาเป็นผู้ดูแล ก็หาทางขึ้นไปบนพื้นโลกพร้อมกับน้องสาวที่ติดตามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น ซึ่งด้านบนก็เป็นโลกที่หนาวเหน็บสุดขั้วระดับติดลบ 80 องศาเซลเซียส จากการที่โลกหยุดหมุนทำให้มีสภาวะอากาศผิดปกติตามมา หนังจะตัดสลับเรื่องราวบนสถานีอวกาศของพ่อ กับเรื่องราวหายนะบนโลก ที่ลูกชายของเขาได้มีส่วนเข้าไปร่วมภารกิจกู้โลกกับทีมหนึ่งโดยบังเอิญ ซึ่งก็เป็นเรื่องราวการนำสิ่งที่เรียกว่า Lighter Core (ในหนังเรียกว่า แกนไฟ) ไปติดตั้งทำให้ชุดขับเคลื่อนโลกที่หยุดทำงาน ได้เดินเครื่องอีกครั้ง ซึ่งก็กลายมาเป็นการผจญภัยจากปักกิ่งจนถึงเกาะซุลาเวซี (Sulawesi) ของอินโดนีเซีย ที่เดินเรื่องได้น่าติดตาม และมีฉากถล่มทลายอลังการงานสร้างตลอดทาง หนังมีฉากแอ็กชั่นสูตรสำเร็จ ตึกถล่ม ฉากรถซิ่งหนีแผ่นดินถล่ม แม้จะไม่ได้เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่เราเคยเห็นจากหนังฮอลลีวู๊ด แต่ก็ไม่ได้ดูซ้ำซากหรือน่าเบื่อแต่อย่างใด

The Wandering Earth
พายุหิมะจากอุณหภูมิติดลบสุดขั้วบนโลก

[bs-quote quote=”หนังไม่ได้ทำออกมาชาตินิยมอวยจีนให้ดูแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด…” style=”style-17″ align=”left”][/bs-quote]

ถ้าใครเคยดูพวกหนังแนวภัยหายนะกู้โลกจากฮอลลีวู๊ด ก็แน่นอนว่าเรื่องจะเดินไปตามแนวชาตินิยมอเมริกาซะเป็นส่วนใหญ่ เรียกว่าถ้าไม่มีกองทัพอเมริกา หรือประธานาธิปดีอเมริกาขึ้นมาปลุกพลังความหวัง โลกนี้ซี้แหงแก๋แน่นอน ก่อนดูผมก็คิดว่าหนังเรื่องนี้ทำรายได้ถล่มทลายติดอันดับสูงสุดในจีน (รายได้รวมตอนนี้ 700 ล้านเหรียญ) ก็คงเป็นหนังหายนะที่อวยจีนแหงๆ คนจีนเลยแห่ไปดู แต่กลายเป็นว่าไม่ใช่อย่างที่คิด หนังไม่ได้ทำออกมาชาตินิยมอวยจีนให้ดูแล้วรู้สึกกระอักกระอ่วนแต่อย่างใด… แถมเดินเรื่องด้วยแนวคิด ความเป็นอยู่ ผสมวัฒนธรรมจีนที่มีในเอเชียได้อย่างกลมกล่อม อย่างการกลับบ้านช่วงตรุษจีน พลุปีใหม่ หรือแม้แต่ของกินผสมทุเรียนก็มี โลเกชั่นในเรื่องหลักก็ไปที่อื่นนอกจากจีน มีความเป็นสากลในเรื่องราว และเติมบทบาทของจีนลงไปได้อย่างพอดี  อย่างบนสถานีอวกาศก็มีบทของตัวละครรัสเซียเป็นเพื่อนซี้กับพ่อพระเอก แต่ในมุมกลับ หนังก็ดูจะตั้งใจละทิ้งบทของชาติอเมริกาไปจนเกินพอดีเหมือนกัน เหลือแค่รูปธงในสนธิสัญญา และบทตัวประกอบโผล่มาไม่กี่วิเท่านั้น

ถ้าถามความสมจริงของเรื่องนี้ในเชิงวิทยาศาสตร์ ผมก็อาจจะตอบไม่ได้แน่ชัด แต่หนังก็อิงมาจากทฤษฎีหลายอย่างจริง (ดูสารคดีโลกหยุดหมุนประกอบได้ที่นี่) แม้จะดูโอเว่อร์ๆ ในเรื่องชุดขับเคลื่อนโลก แต่จุดอื่นๆ อย่าง เมื่อโลกหยุดหมุนจะเกิดอะไรขึ้น ความหนาวติดลบของโลก น้ำในมหาสมุทรเปลี่ยนที่ ชุดพลังงานความร้อน ชุดพาวเวอร์อาร์ม พวกนี้ถือว่าหนังทำการบ้านมาได้ดี ที่ผมชอบที่สุดคือหนังไม่ได้ชี้ให้เห็นว่า โปรเจ็กต์การเดินทางเร่ร่อนนี้จะสำเร็จได้ 100% หนังทำให้เห็นว่านี่เป็นความหวังที่ต้องส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ ถ้าไม่หมดหวัง สักวันสิ่งนี้ก็คงจะสำเร็จ ซึ่งหนังได้ถ่ายทอดความคิดนี้ไว้ในเรื่องราวหลักผ่านตัวละครได้อย่างสวยงามอีกด้วย

sci-fi The Wandering Earth
เซี่ยงไฮ้ ในโลกของ The Wandering Earth ที่อุณหภูมิติดลบ 80 กว่าองศาเซลเซียส

นอกจากความเลวร้ายของหายนะที่เกิดจากธรรมชาติแล้ว ในเรื่องยังมีอีกส่วนที่เกิดจาก AI. ควบคุมในสถานีอวกาศ พ่อของพระเอกต้องต่อสู้กับ AI. ที่มีชื่อว่า “มอสส์” (Moss) ที่คุมโปรเจ็กต์ The Wandering Earth นี้ไว้อย่างเหนียวแน่นตรงไปตรงมา ไม่ยอมให้ใครแหกกฎมีความเสี่ยงนอกเหนือจากการคำนวณของมัน ซึ่งมอสส์ก็จะเริ่มจากแค่เตือน ขัดขวาง ปิดการสื่อสาร ไปจนถึงก่ออาชญากรรมกับมนุษย์ผู้สร้าง ซึ่งเราจะได้เห็นความน่ากลัวของ AI.ในแบบที่คาดไม่ถึง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นที่มอสส์ทำก็ไม่ได้ผิด เพราะก็มาจากมนุษย์นี่เองแหละ ที่เลือกให้อำนาจสูงสุดกับ AI. นี่ไว้เอง (รัฐบาลโลกมอบอำนาจให้)

[bs-quote quote=”พ่อขึ้นไปทำภารกิจบนฟ้า ลูกแค่เงยหน้าขึ้นมาก็ได้เจอพ่อแล้ว” style=”style-17″ align=”left”][/bs-quote]

 

นักแสดงในเรื่องเล่นต่างเล่นได้สมบทบาทดี อาจจะมีล้นๆ ดูน่าหมั่นไส้บ้างกับบทของตัวเอกที่เป็นวัยรุ่นหัวขบถต่อต้านพ่อ แต่หนังก็วางบทที่มาที่ไปดี จากปมขาดความอบอุ่นที่พ่อทิ้งไปทำภารกิจตั้งแต่เด็ก “พ่อขึ้นไปทำภารกิจบนฟ้า ลูกแค่เงยหน้าขึ้นมาก็ได้เจอพ่อแล้ว” ประโยคตั้งแต่เริ่มเรื่องที่ผูกพันทั้งคู่ไว้ไปจนถึงตอนท้ายของเรื่อง จุดนี้เชื่อว่าพอช่วงคลายปมมีเสียน้ำตากันบ้างล่ะครับ ซึ่งเรื่องนี้นอกจากจะเป็นหนังหายนะแล้ว ยังเดินเรื่องด้วยดราม่าชั้นดี ที่เชื่อว่าทำเอาหลายคนซึ้งไม่มากก็น้อย หนังเฉลี่ยให้มีพาร์ทดราม่ากับหลายตัวละครได้อย่างกลมกล่อม ไม่เว้นแม้แต่ตัวบทสมทบหลายๆ ตัวก็มีฉากเด่นให้จดจำได้แทบทุกตัวละคร แต่หนังเรื่องนี้ไม่มีบทคู่รักนะครับ มีแต่ความรักของครอบครัวและเพื่อนเท่านั้น

sister and brother
พี่ชายกับน้องสาวตัวเอกในเรื่อง หนังเรื่องนี้ไม่มีความรักของหนุ่มสาวนะ

นี่เป็นหนังโรงระดับบล็อกบัสเตอร์ฟอร์มยักษ์ของจีน ที่เน็ตฟลิกซ์ทุ่มทุนดูดลงมาฉายในระบบ ซึ่งไม่รู้ว่าต้องทุ่มขนาดไหนถึงทำให้เรื่องนี้โดนกักไว้ แทบไม่ได้ฉายในโรงปกติทั้งโลกเลย (มีนิดหน่อยแค่บางที่ แคนาดา เกาหลีใต้ ฮ่องกง) แต่ก็ต้องขอบคุณ Netflix นี่เป็นความบันเทิงที่เรียกว่าคุ้มค่าเกินราคามาก แต่ถ้าให้เหมาะสมที่สุดหนังเรื่องนี้เหมาะแก่การรับชมจอขนาดใหญ่ ระบบเสียงดีๆ ส่วนตัวรู้สึกเสียดายเหมือนกันที่อดรับชมในโรง แต่อีกมุมนี่ก็เป็นโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงง่ายกว่า และสามารถดูซ้ำเท่าไหร่ก็ได้ แม้พล็อตหายนะกู้โลกจะไม่ได้ใหม่ การเดินเรื่องทำภารกิจก็อาจจะปกติธรรมดาของหนังแนวนี้ แต่นี่ก็เป็นหนังที่ประทับใจดูซ้ำได้ แนะนำบอกต่อให้ดูได้เต็มปาก และเป็นหนังเอเชียเรื่องแรกที่เทียบชั้นหนังบล็อกบัสเตอร์จากฮอลลีวู๊ดได้สบายหายห่วงเลย แนะนำห้ามพลาดครับ!

ความเห็นจากเรา: STREAM IT 


ดูรีวิวหนังเรื่องอื่นได้ที่นี่

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!