playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

FROZEN 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ – เติบโต และ เปลี่ยนแปลง รีวิว สปอยล์

สรุป

ภาคต่อที่เข้มข้นขึ้นแต่ไม่ทิ้งรูปแบบเดิม

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เนื้อเรื่องเติบโตขึ้น ปมหนัก ไม่ซับซ้อนมากนัก
  • แฝงด้วยประเด็นของความรัก และความมั่นใจในตนเอง
  • เพลงเพราะเหมือนเดิม และพร้อมจะกู่ก้องออกมาได้ตลอด
  • งานภาพสวย สมจริง มีรายละเอียด
  • ทุกตัวละครในเรื่องมีพัฒนาการที่น่าสนใจ

Cons

  • เนื้อเรื่องค่อนข้างเดาง่าย ไม่ค่อยมีอะไรหักมุม
  • ตัวละครใหม่บางตัวบทน้อยมาก
  • เพลงประกอบโดดเด่น แต่ไม่เท่าภาคแรก

FROZEN 2

ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

บางเรื่องย่อมเปลี่ยนแปลง รีวิว ไม่สปอยล์

FROZEN 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

FROZEN 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ คือ ผลงานภาพยนตร์แอนิเมชันแนวแฟนตาซี-มิวสิคัลภาคต่อของ FROZEN ภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากนิทานเรื่อง ราชินีหิมะ โดย ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน ซึ่งเป็นเนื้อเรื่องต้นฉบับโดยไม่อ้างอิงเรื่องราวเหมือนอย่างภาคแรก ภายหลังความสำเร็จอย่างล้นหลามเมื่อปี 2013 ที่ทำรายได้กว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งมากพอที่จะต่อยอดความสำเร็จด้วยหนังสั้นอย่าง FROZEN FEVER ในปี 2015 และ OLAF’S FROZEN ADVENTURE ในปี 2017 ซึ่งฉายปะหนังของดิสนีย์ทั้งสิ้น กลับมาคราวนี้ทีมผู้สร้างมีอะไรเจ๋ง ๆ มาอวดสาวกคนดูกันบ้าง

ย้อนไปเมื่อ 6 ปีก่อน ใครหลายคนอาจจะยังเด็ก หรือ ยังอายุไม่มากเท่าตอนนี้ คงจำความรู้สึกตอนที่ได้ชมเรื่องราวปฐมบทของเฟรนไชน์ที่ดังเป็นพลุแตกอย่าง FROZEN กับเรื่องราวของสองพี่น้องที่ห่างเหิน ก่อนจะต่อสู้ฟันฟ่าจนได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกครั้ง พร้อมทั้งเพลงประกอบสุดตรึงใจอย่าง “ปล่อยมันไป” หรือ “Let It Go” เพลงสุดอลังที่กลายเป็นที่จดจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ร่วมกับเพลงอื่น ๆ ด้วย รวมถึงสินค้าต่าง ๆ พากันขายดีเป็นเทน้ำเทท่าจนทำให้เฟรนไชน์นี้พัฒนาออกมาเป็นภาคต่อที่สองของตำนานราชินีหิมะ ซึ่งการันตีความดีงามของเรื่องด้วยคะแนนวิจารณ์ในแง่บวก รวมถึงทีมงานชุดเดิมที่กลับมารังสรรค์งานนี้เกือบครบทีม ซึ่งคราวนี้ ความหนาวไม่ทำให้เอลซ่าเดือดร้อนแล้ว แต่อะไรที่ทำให้เอลซ่าเดือดร้อนได้อีกล่ะ ถ้าไม่ใช่…อ่านเรื่องย่อก่อนดีกว่า

“สามปีหลังเหตุการณ์ในภาคแรก ตั้งแต่ที่แอเรนเดลล์เปิดประตูวัง ทุกคน พากันอยู่อย่างสงบสุขมาโดยตลอด แอนนาก็ยังรักและห่วงใยเอลซ่า ราชินีของอาณาจักรผู้เป็นพี่สาว แต่แล้วสายสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มสั่นคลอนอีกครั้ง เมื่อเกิดเหตุเสียงเรียกประหลาดร้องเรียกเอลซ่าในคืนหนึ่ง ทำให้เธอปล่อยพลังจนปลุกพลังจิตวิญญาณทั้ง 4 แห่งป่าต้องมนตร์ขึ้นมา จนอาณาจักรเกิดอาเพศครั้งใหญ่ ทั้งหมดจึงรู้ว่า ป่าต้องมนตร์ คือสถานที่ที่เก็บซ่อนคำตอบของอดีตทั้งหมดไว้ ทั้งหมดจึงเดินทางและนั่นนำมาสู่ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่จะชี้ชะตาอาณาจักรแอเรนเดลล์อีกครั้ง แต่เอลซ่าต้องมั่นใจพอว่าเธอจะสามารถต่อสู้กับแรงจูงใจอันแรงกล้านี้ได้ ก่อนที่มันจะทำร้ายเธอและคนที่เธอรักเสียเอง”

มุมมองใหม่ ภายใต้ความเป็นผู้ใหญ่ของคนดู

นี่น่าจะเป็นการก้าวเท้าออกจากเซฟโซนอีกครั้งของดิสนีย์ที่ได้สร้างภาคต่อจากอนิเมชั่นที่ขึ้นชื่อว่าดีมาก ๆ ให้ไปในทิศทางใหม่ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน คือการที่เนื้อเรื่องเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มผู้ชมที่ติดตามมาตั้งแต่เมื่อ 6 ปี ก่อน โดยในขณะเดียวกันก็ยังเป็นมิตรกับผู้ชมกลุ่มใหม่ที่อายุเด็ก ๆ ลงมา โดยที่ไม่ได้เสียจิตวิญญาณที่โฟรเซ่นมีมาตลอด คือการที่ตัวละครเติบโตขึ้น แต่เป็นเหมือนเดิม ก็เหมือนกับมุมมองที่เรามอง เมื่อก่อนเราเคยคิดว่าเราดูภาคแรก เพราะมันเนื้อเรื่องสนุก ดูง่าย เพลงเพราะ ภาพสวย

แต่รอบนี้ดิสนีย์รู้ทันว่าคนเราย่อมเติบโตและเปลี่ยนไป เลยลดความเด็กลง แล้วเทน้ำหนักไปที่งานภาพกับการสร้างปมของตัวละครกับความลึกลับมากกว่าเน้นความสดใสเหมือนภาคที่แล้ว ซึ่งเรื่องราวของภาคนี้คือการเฉลยปมบางอย่างที่ค้างคาทั้งคนดูเมื่อหกปีก่อน รวมถึงตัวละครในเรื่องอีกด้วย หนังเล่าเรื่องสไตล์เดียวกับภาคแรกคือเล่าไปเรื่อย ๆ สลับกับเพลงที่ตัวละครร้องตามลายเซ็นดิสนีย์ แต่ไม่ได้ทิ้งการเดินเรื่องตามลักษณะภาพยนตร์ ในขณะเดียวกันก็ยังสอดแทรกมุกตลกของตัวละครที่จิกกัดภาคแรกด้วย ถือเป็นการยกระดับในส่วนของเนื้อเรื่องด้วย แม้จะไม่ได้มากมายกว่าภาคแรกก็ตาม ระหว่างที่ดูก็รู้สึกเพลิดเพลินกับเรื่องราวที่สอดแทรกเข้ามาในช่องว่างของภาคแรกด้วย ซึ่งเป็นการเติบเต็มสิ่งที่เราอาจจะคิดหรือไม่คิด แต่ก็ทำหนังแข็งแกร่งขึ้น

ตัวละครพัฒนาตามกาลเวลา แต่มีเสน่ห์และมีประโยชน์

ตัวละครหลักของ FROZEN 2 อย่างแอนนา และ เอลซ่ามีพัฒนาการขึ้น ทั้งด้านวุฒิภาวะ สถานการณ์ตามที่ได้ผ่านมา เสริมให้ความสัมพันธ์ระหว่างสองตัวละครนี้เข้มแข็ง เราลุ้นและเอาใจช่วยว่าทั้งคู่จะฝ่าวิกฤติไปได้ยังไง เพราะจากภาคก่อน เราไม่เห็นสองตัวละครนี้ทำอะไรร่วมกันเลย อาจเพราะอยู่ห่างกัน แต่พอเป็นภาคนี้ เราจะเห็นความใกล้ชิด ความรัก และความดื้อรันที่เป็นแบบพี่น้องมากขึ้น แต่เพราะต่างฝ่ายต่างมีเหตุผลเราจึงพอเข้าใจได้ และแน่นอนทั้งคู่ต่างก็มีปมเป็นของตัวเอง ซึ่งเป็นการต่อยอดเรื่องราวในภาคแรกอีกทีนึง ทั้งเรื่องความสูญเสีย ความห่างเหิน ความกลัว ที่ถูกขับเน้นมากขึ้นระหว่างที่ทั้งคู่เดินทางไปกับเรื่องราว

ในขณะที่ตัวละครอย่างพระราชาและราชินีถูกขับออกมาทีละเล็กทีละน้อยให้ปะติดปะต่อเรื่องราว ซึ่งช่วยในการไขปริศนาของปมทั้งหมด ซึ่งภาคก่อนเราไม่ค่อยรู้ว่าทั้งคู่ผ่านอะไรมาบ้าง และเราก็รู้สึกหดหู่กับชะตากรรมจากความพยายามของทั้งสองคนในภาคแรก แต่อย่างน้อยทั้งคู่ก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้สองพี่น้องรักกันมากกว่าที่เคยเป็น ในขณะที่คริสตอฟ อดีตมนุษย์น้ำแข็งผู้กำพร้าจะเป็นแนวตัวตลกที่ดันเป็นพระเอกเต็มตัว และมีมุมเด๋อด๋ากับเพื่อนกวางในการทำอะไรบางอย่าง พร้อมทั้งโอลาฟ ที่รอบนี้วาดลวดลายอย่างโดดเด่น

ใครชอบก็ชอบเลย ใครรำคาญก็รำคาญเลยไม่แปลกใจ แต่สิ่งที่ทำให้โอลาฟภาคนี้ไม่เหมือนภาคก่อนคือ “ความเป็นผู้ใหญ่ทางความคิด” ซึ่งไม่สปอยล์แล้วกัน คิดเอาเองว่าเติบโตแบบไหน แต่ที่น่าเสียดายคือตัวละครกลุ่มใหม่ที่โผล่มาไม่ได้โดดเด่นเท่าที่ควรเพราะจากที่ดูรู้สึกว่ามันสามารถลงรายละเอียดตัวละครได้มากกว่านี้น่าเสียดาย ในขณะที่ตัวละครอื่น ๆ ที่ออกมาเพื่อให้มีบทไปสู่ฉากต่อไปเท่านั้น ส่วนในด้านอารมณ์ยังคงทำได้ดี ในการบิวต์ให้เรารู้สึกตาม ทั้งเศร้า เสียใจ สุขใจ อบอุ่น ตลก ซึ่งเด็กน้อย ๆ อาจจะไม่เข้าใจในบางจุด ด้วยปม หรือ เรื่องราว แต่ก็สามารถดูได้ เพราะหนังก็ไม่ได้จะพยายามเป็นผู้ใหญ่อะไรขนาดนั้น แต่เป็นเหมือนวัยรุ่นที่เริ่มเข้าใจโลกมากขึ้น

FROZEN 2 งานภาพล้ำขึ้น ดนตรีอลัง เพลงไม่เน้นติดหู เน้นความเป็นละครเวที

ดิสนีย์ขึ้นชื่ออยู่แล้วในฐานะอนิเมชั่น ใน FROZEN 2 จึงขอยกระดับงานภาพอีกครั้ง โดยการลงรายละเอียดของภาพ ทั้งน้ำ ลม ไฟ น้ำแข็ง สมจริงยิ่งขึ้นไปอีก ฉากแต่ละฉากสามารถหาดูได้เลยว่าใส่ใจขนาดไหน ยิ่งฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง ยิ่งทำให้งานภาพในภาคที่แล้ว กลายเป็นการ์ตูนเด็ก ๆ ไปเลย ซึ่งบอกไม่ได้ว่าฉากอะไร แต่อยากให้ไปสัมผัสเอาเอง เส้นผม ใบหน้าตัวละครลงลึกไปในท่าทาง มีความเป็นธรรมชาติมากขึ้น ยิ่งพอมาดูเสียงพากย์ไทยที่ผ่านการคัดเลือกมาตั้งแต่ภาคแรกยิ่งช่วยทำให้ทุกอย่างดูลงตัวขึ้น

FROZEN 2

สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยของอนิเมชั่นประเภทมิวสิคเคิลคงจะเป็นเพลงที่ร้องตลอด 5 นาที (แซว ๆ) เรียกได้ว่าเศร้า ดีใจ ตกใจ หวาดกลัว ก็ร้องเพลงกันราวกับรอบ ๆ มีเครื่องดนตรี แต่จังหวะจะโคนก็ไม่ได้ต่างจากภาคแรกสักเท่าไหร่ ซึ่งก็ฟังเพลิน ๆ และก็ฮึกเหิม ส่วนความติดหู ผมไม่อยากให้ไปเทียบกับภาคแรกเท่าไหร่ จริงอยู่ที่เพลงภาคนี้ไม่ได้ติดหูเท่า แต่เนื้อเรื่องกับทำนองสวยขึ้นกว่าภาคแรกจากที่ฟังมา เหมือนภาคนี้จะไม่เน้นขายเพลง แต่เน้นขายเรื่องราว ซึ่งยอมรับตามตรงว่าเส้นเรื่องก็ไม่ได้แข็งแรงขนาดนั้น อารมณ์เหมือนเราดูละครเวที มิวสิคเคิลประมาณนั้น โชคดีที่เพลงไม่ได้ชวนให้เบื่อจนอยากผ่าน ๆ ขนาดนั้น เพราะแต่ละฉากล้วนสื่ออารมณ์ สื่อเรื่องราวได้ดีกว่าฉากที่พูดคุยปกติเสียอีก

FROZEN 2

แต่มันก็เพียงพอที่จะข้ามผ่านขนาดเรื่องราวของภาคแรกได้อย่างฉลุย ไม่ว่าจะเป็นเพลง ดินแดนที่ไม่รู้ และ เผยตัวตน ที่พร้อมจะเรียกสาวกกลับมาชาบูพระแม่เอลซ่าอีกครั้ง แถมรอบนี้ไปได้สุดกว่าอีก เพียงแต่เพลงไม่น่าจะแมสเท่าภาคแรก แต่ถ้าใครชอบเมโลดี้ จะพบว่ามันสอดแทรกอะไรไว้เยอะมาก เช่นเดียวกับดนตรีประกอบของเนื้อเรื่องที่ยังรักษามาตรฐานของภาคแรกได้เป็นอย่างดี อาจจะยกระดับความอลังขึ้นมาหน่อย เช่นเดียวพลังของเอลซ่า ที่แกร่งกล้าขึ้นตามลำดับเนื้อเรื่อง ในขณะที่เพลงของตัวละครอื่นก็ดีไม่แพ้กัน โดยเฉพาะเพลงของคริสตอฟ ที่หยอกล้อกับเอ็มวีเพลงยุค 80 ทั้งเนื้อเรื่อง และทำนอง พอ ๆ กับจังหวะภาพที่กาวได้ใจจริง ๆ หรือเพลงบางเรื่องไม่เคยเปลี่ยน ที่ดันกลายเป็นเพลงที่ดูจะสดใสที่สุดของเรื่องแล้ว ถ้าเทียบกับเพลงอื่น ๆ

                   

เพราะ “ความกลัว” คือ ศัตรูที่น่ากลัวกว่า “เวทมนตร์”

ด้วยความที่หนังมีความเข้มข้นของเรื่องราวมากขึ้น FROZEN 2 จึงประกอบไปด้วยประเด็นที่ตีทางออกมาจากภาคแรก จากการเป็นตัวเอง เป็นการยอมรับและเข้าใจในตัวเอง การเผชิญหน้ากับความผิดในอดีต ความรักในทุกรูปแบบ พี่น้อง คนรัก เพื่อน ครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังทำออกมาได้ดีไม่แพ้กับภาคแรก เช่นเดียวกับการสอนให้คนทำสิ่งที่ดีที่ควร โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองว่ายังไง ในขณะเดียวกัน ความกลัว ก็คืออุปสรรคที่สำคัญที่กีดกันให้เราทำสิ่งดี ๆ เหมือนกับตัวละครในเรื่องที่ต้องฝ่าฟันปัญหาไปพร้อม ๆ กัน เพราะความเปลี่ยนแปลงตามเวลาที่ผ่านไป แต่อย่างน้อยสิ่งที่พวกเขามีคือ “ความรัก” ที่อยู่เหนือกว่า “เวทมนตร์” ทั้งปวงในโลกใบนี้ อาจจะมากกว่าพลังของจิตวิญญาณเสียอีก

FROZEN 2

ภาคต่อที่ไปไกลกว่า และก็ด้อยกว่าด้วย แต่ก็คุ้มค่าที่จะชม

FROZEN 2 ส่วนตัวผมให้คะแนนภาคนี้มากกว่าภาคแรกตรงสเกลของเรื่อง ความปมหนักที่อาจจะเล่นใหญ่ไปไม่สุด แต่ก็น่าชื่นชมที่ดิสนีย์สามารถพังกำแพงความกลัว หรือเซฟโซน ไปสู่ดินแดนที่ไม่รู้ของตัวเอง โดยการยกระดับงานภาพ เสียง และเนื้อเรื่องที่มีความเข้มข้นมากกว่าเดิม แต่อาจจะไม่ได้ตราตรึงเหมือนภาคก่อน ๆ ก็ตาม แต่หลังดูจบผมคิดว่าเฟรนไชน์นี้ไม่น่าจะจบลงง่าย ๆ แน่ แม้ส่วนตัวจะคิดว่ามันสมบูรณ์แบบแล้วก็ตาม 

แนะนำว่าควรไปดูกันเป็นครอบครัว เพิ่มพลังสายสัมพันธ์ของครอบครัว ผู้ชมทุกเพศทุกวัยและแฟนโฟรเซ่นทุกคนไม่ควรจะพลาดภาคต่อนี้อย่างยิ่งครับ ส่วนคนทั่วไปก็สามารถไปดูได้เหมือนกัน ชอบไม่ชอบก็ไม่เป็นไร แต่คงไม่แย่หรอกที่จะไปดูอนิเมชั่นดี ๆ ที่มีพร้อมในความเป็นผู้ใหญ่และความเป็นเด็กที่คนเราเป็นอยู่ในทุกวัน เพราะเราย่อมต้องเปลี่ยนไป เหมือนตัวละครในเรื่อง ไม่มีใครอยู่ในจุดเดิม และไม่มีใครโตเป็นผู้ใหญ่เกินไปเช่นกัน 

คำเตือนหลังดูครับ ลูกสาวบ้านไหนได้ดูแล้วปลื้ม เตรียมเสียเงินค่าชุดเพิ่มงานโรงเรียน ส่วนใครปลื้มเพลงในโรง คุณจะต้องร้องไม่หยุดจนคนใกล้ตัว เพื่อน พ่อแม่ ต้องรำคาญแน่ครับ55555

 

ตัวอย่างภาพยนตร์ประกอบ รีวิว 

FROZEN 2 ผจญภัยปริศนาราชินีหิมะ

 

 

 

เดินทางสู่ “ดินแดนที่ไม่รู้” ได้แล้ววันนี้ที่ โรงภาพยนตร์ Major และ Sf

 

FROZEN 2

ตอนนี้ขอลาไปอีกตามเคย พบกันใหม่ในบทความหน้า ตอนนี้ขอไป ดินแดนที่ไม่รู้ก่อน

มีเสียงเรียกแล้ว555555

สวัสดีครับ

มหรรณพัน 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!