playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Avengers: Endgame สปอยล์ บทสรุปความทรงจำ 11 ปี ที่สนุกแต่ไม่อิ่มเอม

สรุป

ดูเถอะครับ โดนสปอยล์มาแล้วก็ไปดูเถอะ

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • อภิมหาแฟนเซอร์วิสมหาศาล
  • นักแสดงรวมร่างกับตัวละครตีบทแตก บทครบรสครบเครื่อง
  • บทสรุปตัวละครที่ต้องจาก MCU ไปอิ่มเอมมากๆ
  • ภาพ แสง สี เสียง สวยงามตระการตา จังหวะบทจังหวะตัดต่อดีสุดๆ

Cons

  • โดยรวมตอนจบไม่อิ่มเลย เพราะสรุปตัวละครน้อยมาก หายไปเยอะ
  • ฉากแอ็คชันน้อยกว่า Infinity War มากๆ
  • บทบางจุดรวบรัดและเอาง่ายเกินไป บางจุดก็ทำพลาดโอกาสเสียของไป
  • กัปตันมาร์เวลน่าผิดหวังมาก และฉากศึกสุดท้ายเฉลี่ยบทไม่ทั่วเลย

ผ่านมายาวนาน 11 ปี จนในที่สุดก็มาถึง Avengers: Endgame เรื่องที่ 22 จุดสิ้นสุดของ MCU สามเฟสแรกแล้ว รีวิว+สปอยล์


แนะนำนิดนึงว่าดู IMAX ไม่ผิดหวังครับ ภาพสามมิติทำมาดีทำมาสวย คมชัดใกล้หูใกล้ตามาก คุ้มค่าตั๋วแพงแน่นอน


เรื่องเกี่ยวกับ Avengers: Endgame ในเว็บไซต์

หนังเริ่มต้นเกือบจะทันทีหลังจากเหตุการณ์ใน Infinity War ทำให้หลายคนปะติดปะต่ออารมณ์ตามได้ไม่ยากนัก เราได้เห็นการเสียขวัญและกำลังใจของตัวละครแต่ละตัวที่รอดจากการดีดนิ้ว ความเศร้า ความโกรธ ความรู้สึกผิดถูกถ่ายทอดออกมาอย่างชัดเจนด้วยการแสดงกับสีหน้า มันยิ่งเพิ่มความจุกอกของคนดูเข้าไปอีกและเชื่อมความสัมพันธ์ของตัวละครกับคนดูได้อย่างดีเยี่ยม แล้วก็ยิ่งเค้นความอยากรู้อยากเห็นว่าทุกอย่างจะดำเนินไปสู่จุดจบอย่างไรด้วย

ฉากโลกหลังดีดนิ้วที่มีอยู่น้อยนิด
ฉากโลกหลังดีดนิ้วที่มีอยู่น้อยนิด

แต่ข้อเสียที่ไม่น่าพลาดเลยก็คือตัวหนังพยายามเน้นที่กลุ่มฮีโร่มากเกินไป ธานอสดีดนิ้วทั้งทีเราไม่ได้เห็นสภาพทั้งโลกและจักรวาลเลยว่าโดนผลกระทบแค่ไหน หนังไม่ได้บิ้วท์เพิ่มให้คนดูว่าเหตุการณ์มันเลวร้ายแค่ไหน มีแค่ฉากแพนกล้องให้ดูเมืองอยู่ไม่กี่ฉากเท่านั้น มีฉากอนุสรณ์สถานคนที่สาบสูญ แต่ก็แค่นั้น คือตั้งใจให้คนดูรู้แค่ว่า “หายไปครึ่งจักรวาล” แค่นี้ก็พอ ทั้งๆ ที่มันยังมีโอกาสบิ้วท์ได้อีกเยอะโคตรๆ อีกข้อที่พลาดคือสปอยล์ว่าระหว่างฮอว์คอายกับแบล็ควิโดว์ใครจะตายตั้งแต่ Trailer แล้ว เพราะว่าพอไปถึงฉากเอาโซลสโตนแต่ยังไม่เห็นฮอว์คอายวิ่งหนีไฟแบบใน Trailer ก็รู้แล้วว่าแบล็ควิโดว์เสียสละ

แต่ถึงอย่างนั้น อีกสิ่งที่ต้องชมก็คือ Marvel Studios กล้าทำหนังโทนเครียดโทนหม่นในที่สุด ภาคนี้ดูแล้วเครียดกว่าภาคที่แล้วเยอะกว่ามากๆ โดยเฉพาะในช่วงต้นเรื่อง ซีนอารมณ์จัดเต็ม แถมยังมีฉากโหดด้วย แม้จะไม่เท่า Logan หรือ Deadpool ของ Fox แต่ก็ถือเป็นแนวทางใหม่ที่ดีที่อยากให้ทำอีกในอนาคต

ซีนอารมณ์แต่ละฉาก เรียกได้ว่านักแสดงรวมร่างกับตัวละครไปแล้ว
ซีนอารมณ์แต่ละฉาก เรียกได้ว่านักแสดงรวมร่างกับตัวละครไปแล้ว

อารมณ์ขันก็ยังไม่หายไป แม้จะไม่ได้ตลกพร่ำเพรื่อแบบ Captain Marvel แต่ก็มากพอที่จะพูดได้เต็มปากว่านี่คือตลกคณะ Marvel Studios เจ้าเก่า แถมที่สำคัญคือตลกธรรมชาติด้วย ธรรมชาติมากๆ ไม่เหมือนเรื่องอื่นที่อาจจะเซ็ตฉากขึ้นมาให้เป็นมุกโดยเฉพาะหรืออาจจะพูดติดตลกขึ้นมาโพล่งๆ ซะอย่างนั้น แต่ในเรื่องนี้มุกอยู่ในเนื้อเรื่อง ทุกอย่างตลกไปด้วยบทหรือคำพูดที่สำคัญกับเรื่องราวทั้งนั้น มุกน่ารักๆ ก็ยังมีแบบฮัล์คแด๊ป หนังฮอลลีวู้ดย้อนเวลา ธอร์ติด Fortnite ติดเหล้าลงพุง (เหนือความคาดหมายมาก)

แฟนเซอร์วิสคือส่วนที่เจ๋งที่สุดของเรื่องนี้ มีฉากเด็ดๆ หลายฉากที่คนรักคอมมิคจะต้องชอบ หรือถ้าใครดูแต่หนังมาก็ยังคงมีฉากเอาใจแฟนๆ ที่ติดตามมา 21 เรื่อง ด้วยเหมือนกัน ย้ำว่าเยอะมาก และในฐานะเรื่องสั่งลาของนักแสดงบางคน ในฐานะเรื่องที่เน้นอเวนเจอร์รุ่นแรกสุด มันเป็นโมเมนต์ที่ทำให้คนดูถูกใจคล้อยตามได้ไม่ยาก ต้องตราตรึงติดใจคนดูไปอีกนาน ไม่ว่าจะ “เฮล ไฮดร้า” “แอนด์ไอ…. แอมไอรอนแมน” กัปตันใช้ค้อนธอร์ ฮัล์คแบกตึก โหมดอินสแตนซ์คิลของชุดสไปเดอร์แมน และอีกมากมายที่คนดูเฮ้ยๆ ว้าวๆ เป็นพักๆ อย่างในรอบที่ผมดูนี่กรี๊ดกันใหญ่

จุดจบที่น่าเศร้าของความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่าคนรัก
จุดจบที่น่าเศร้าของความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่าคนรัก

การเลือกบทย้อนเวลาแบบนี้ทำให้คนดูได้ย้อนเวลาตามในหนังไปตอนดูเรื่องต่างๆ ในช่วง 11 ปี ที่ผ่านมา มันได้ทั้งคิดถึง รำลึก เพิ่มเนื้อเรื่อง แซวหนังเก่าตัวเอง กลายเป็นแฟนเซอร์วิสที่ทำออกมาได้ใจสุดๆ ได้โอกาสสร้างซีนซึ้งมากมาย ทั้งฉากอย่างโทนี่กับพ่อ สตีฟกับเพ็กกี ธอร์กับแม่ และฮอว์คอายกับแบล็ควิโดว์แย่งกันสละชีวิต

แต่พอดูไปดูมาก็รู้เลยว่ามันแลกมากับศึกสุดท้ายที่โดนลดทอนอารมณ์ด้านลบต่อธานอสไป เพราะมันเป็นธานอสคนละคน คนที่เรารู้จักกันดีจากภาคที่แล้ว (ซึ่งเป็นภาคที่ดีมากๆ) หัวขาดไปตั้งแต่ต้นเรื่องแล้ว คนในศึกสุดท้ายมันก็เป็นแค่ธานอสที่แข็งแกร่งไร้เทียมทานมาทำสงคราม ไม่ใช่ธานอสที่ห้ำหั่นกันเอาเป็นเอาตายกันมาก่อนในภาคที่แล้ว บางทีก็รู้สึกเลยว่าถ้าไม่มีเรื่องดีดนิ้วหายครึ่งจักรวาล ถ้ามันไม่ใช่ตัวร้ายที่โคตรเก่งทั้งบู๊ทั้งบุ๋นจริงๆ นี่ Infinity War ก็จะดูเสียเปล่าไปเลย

Avengers Endgame รีวิว สปอยล์
Avengers Endgame รีวิว สปอยล์

แต่ก็ไม่ใช่ว่าศึกสุดท้ายจะน่าเบื่อ คือสามต่อหนึ่งสู้กันมันส์จริงๆ กัปตันใช้ค้อนถึงแม้จะรู้ว่ามีแน่ๆ ตามคอมมิคแต่จังหวะปล่อยของมันก็เพอร์เฟกต์เหลือเกิน ช็อตที่พีคในเรื่องคือตอนเริ่มต้นศึกนี่เอง ขณะที่ฝ่ายฮีโร่กำลังวิกฤติสิ้นหวัง กัปตันอเมริกาฝืนยืนหยัดขึ้นประจัญหน้ากับธานอสตัวคนเดียว เสียงรอบตัวค่อยๆ เงียบลง อยู่ดีๆ ก็มีคนเรียกให้มองทางซ้ายข้างหลัง ท่ามกลางความเงียบสนิท บนอากาศที่มีแต่ซากการทำลายล้างค่อยๆ มีสีเหลืองอร่ามหมุนๆ ปรากฏขึ้นมา มันคือประตูมิติของจอมเวทย์ที่คุ้นเคย เงาสามเงาเดินออกมาจากประตูมิติอย่างช้าๆ และคนที่เดินออกมาก็คือโอโคเย ชูริ และฝ่าบาท แบล็คแพนเธอร์

ตอนนี้ คนดูรู้แล้วว่าทุกคนที่เคยโดนดีดนิ้วหายไปได้กลับมาและกองทัพวากันดาตามมาช่วยแล้ว แต่มันไม่ใช่แค่นั้น ประตูมิติค่อยๆ ปรากฏเพิ่มมากขึ้นๆ เหล่าฮีโร่ทุกคนที่สลายหายไปทั้งหมดตอนนี้ได้กลับมาช่วยสู้แล้ว ทุกคนมารวมตัวพร้อมหน้ากัน โดยมีกัปตันอเมริกานำหน้าเป็นแม่ทัพ พร้อมทำศึกกับกองทัพของธานอสอีกครั้ง

และแล้วในที่สุด หลังการรอคอยมายาวนาน 11 ปี ของ MCU กับหนัง 22 เรื่อง กัปตันได้ตะโกนขึ้นมาว่า

“Avengers….

Assemble”

ส่วนตัวผมว่านี่คือโมเมนต์ที่พีคที่สุดแล้วในเรื่อง เอาแค่ว่าได้ยินประโยคอมตะจากคอมมิคในหนังโรง MCU ในที่สุดแค่นี้ก็โคตรเซอร์วิสแล้ว แต่การเลือกมุมกล้อง การจัดองค์ประกอบภาพ (เป็นอีกฉากที่สวยมากสำหรับคนดู IMAX) การเว้นจังหวะ การเล่นกับความเงียบ สถานที่ต่อสู้ที่เป็นซากฐานอเวนเจอร์ซึ่งเป็นการเล่นเชิงสัญลักษณ์ชั้นดี การแสดงของคริส อีแวนส์ ฉากนี้คือที่สุดของการทำการบ้านมาแล้วจริงๆ ของทีมงานเขา

Whatever It Takes....
Whatever It Takes….

อีกเรื่องที่คิดว่าสูญเปล่าโคตรๆ ที่สุดก็คือตัวกัปตันมาร์เวล MCU บิ้วท์ตัวละครนี้มาตั้งแต่ End Credit ของ Infinity War จนมาถึงหนังของตัวเองเมื่อเดือนที่แล้ว บิ้วท์ซะดิบดีว่าแข็งแกร่ง พลังเยอะมาก เป็นตัวละครสำคัญในการพลิกการต่อสู้ครั้งนี้ แต่พอมาเรื่องนี้จริงๆ กลับโผล่น้อยมาก นับฉากได้เลย ตอนเขาเดือดร้อนย้อนเวลากันก็ไม่มาช่วย ศึกสุดท้ายก็โผล่มาช้า

มันชัดเจนมากกว่าดิสนี่ย์กับมาร์เวลไม่รู้จะทำยังไงกับตัวละครตัวนี้ดี เพราะพลังของเธอมันเวอร์เกินไป ตัวเองพยายามลดสเกลพลังมา 11 ปี อยู่ดีๆ จะให้กัปตันมาร์เวลมาทรงพลังเหมือนในคอมมิคซะงั้น มันตัน คิดไม่ออกว่าจะเอามาร่วมวงยังไงไม่ให้ฮีโร่คนอื่นๆ อ่อนแอ แล้วยิ่งภาคนี้เน้นอเวนเจอร์รุ่นแรกด้วย ยิ่งดูใส่มาแค่ไม่ให้ลืมเฉยๆ ซะมากกว่า กลายเป็นว่าทำหนัง Captain Marvel ออกมาหาประโยชน์จากกระแส Avengers: Endgame อย่างเดียว

หลัง 5 ปี อุตส่าห์ตัดผมสั้น ดันโผล่มาอีกทีจะจบเรื่องแล้ว
หลัง 5 ปี อุตส่าห์ตัดผมสั้น ดันโผล่มาอีกทีจะจบเรื่องแล้ว

พูดถึงหนังฮอลลีวู้ดจะไม่พูดถึงการเมืองกับอุดมการณ์ทางสังคมที่แทรกอยู่ในหนังก็คงเป็นไปไม่ได้ ในเรื่องผมเห็นอยู่สองฉากคือฉากนิวยอร์กอเวนเจอร์ภาคหนึ่ง รัฐมนตรีที่โผล่มานี่จงใจล้อโดนัลด์ ทรัมป์ชัดๆ อีกฉากหนึ่งก็คือฉากศึกสุดท้ายที่ฮีโร่ผู้หญิงทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปกป้องสไปเดอร์แมน เป็นฉากที่ทำมาเอาใจเฟมินิสต์โดยเฉพาะ แต่จะไม่บ่นอะไรเลยถ้าทำดีๆ แต่ดันเผางานส่ง พอโดดมารวมตัวกันครบคนปุ๊ป โชว์ได้บางตัวร่วมนาทีสองนาทีแค่นั้นแหละ มันไม่ได้หวือหวาหรือแสดงความเก่งกาจอะไรมากเลย เหมือนทำเอามาเป็นไม้กันผีไปงั้นๆ กลายเป็นว่าฝืนซะมากกว่า

สิ่งที่คนตั้งหน้าตั้งตารอจากหนังเรื่องนี้ก็คือ “จะปิดฉาก MCU สามเฟสนี้ยังไง” เพราะหลายคนรู้แล้วว่าดาราบางคนจะไม่ได้แสดงต่อ ที่สำคัญคือ “ใครตาย” สุดท้ายสรุปออกมาแล้วก็คือแบล็ควิโดว์กับไอรอนแมนตาย ส่วนกัปตันอเมริกาเปลี่ยนมือเพราะสตีฟ โรเจอร์ตัดสินใจย้อนเวลาไปใช้ชีวิตกับเพ็กกี รู้สึกยังไงอันนี้ก็แล้วแต่คนครับ หนังทำบทออกมาได้ดีมีอิมแพคสุดๆ สำหรับบั้นปลายสามคนนี้

Avengers Endgame รีวิว สปอยล์
Avengers Endgame รีวิว สปอยล์

แต่ข้อเสียที่แย่ที่สุดของเรื่องก็อยู่ตรงท้ายเรื่องนี้ด้วย หนังไม่ได้ทำบทสรุปให้ฮีโร่ทุกตัว ถึงแม้ว่าจะยังไม่ไปไหนยังไม่หมดสัญญา แต่ก็ควรมีไว้บ้างให้มันดูเป็นการจบศึกใหญ่จบสามเฟส 11 ปี สเตรนจ์ไม่ได้พูดอะไรเลยทั้งๆ ที่เป็นตัวละครสำคัญพลิกเกมจากภาคที่แล้ว เป็นคนแรกที่ควรรู้ว่าโทนี่กับนาตาชาต้องตาย นิค ฟิวรี่ ไม่ได้พูดซักแอะ ไม่ได้คุยกับกัปตันมาร์เวลเลยทั้งๆ ที่หนังยังสดใหม่เดือนที่แล้ว กาโมร่าอดีตนี่หายไปเลย แต่ก็อาจจะเป็นเพราะว่าทางสตูดิโอก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่าจะเอายังไงต่อดีกับตัวละครและนักแสดงเหล่านี้

มันควรจะครบได้กว่านี้แต่ดันมาขาดๆ ตอนท้ายเรื่อง ขนาดว่าเป็นหนังที่เน้นอเวนเจอร์รุ่นเฟสแรกแท้ๆ บทสรุปของหลายคนก็ยังดูไม่น่าพอใจ หนังให้ความสำคัญกับโทนี่ ธอร์ และสตีฟมากเกินไปหน่อย บั๊กกี้กับสตีฟไม่ได้คุยกันซักแอะ ฮีโร่ตายไปสองคนโลกรู้สึกยังไงกันมั่งก็ไม่มีบอก ธอร์นี่ลืมโลกิไปแล้วมั้ง ถ้าหนังยาวกว่านี้ซัก 5 นาที 10 นาที ก็น่าจะลงเอยได้ซึ้ง ครบ ยิ่งใหญ่ และลงตัวกว่านี้

Avengers Endgame รีวิว สปอยล์
Avengers Endgame รีวิว สปอยล์

โดยรวมแล้วหนังสนุกมากครับ ดูเพลินมากๆ โดยเฉพาะครึ่งแรกนี่ติดตลอดจริงๆ นักแสดงคือสุดยอดฝีมือทุกคน ย้ำว่าทุกคนแม้กระทั่งธานอสที่ภาคนี้ออกมาน้อยกว่ามากๆ (สีหน้าแววตาตอนรู้ตัวว่าแพ้แล้วนี่ลึกสุดๆ) แต่บทตอนย้อนเวลาบางส่วนก็ยังดูรวบรัดเกินไป ผ่านฉลุยง่ายเกินไป ภาคนี้มีฉากแอ๊คชันน้อยลงมากๆ ไปด้วย ศึกสุดท้ายก็ตามคาด เฉลี่ยบทได้ไม่ครบเฉิดฉายไม่เท่ากัน แต่หนังมันชัดเจนมาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะเน้นใครก็เลยหยวนๆ ไป หนังมีฉากว้าวให้คนดูไม่ขาดสาย แฟนเซอร์วิสเพียบ แต่ก็อย่างที่บอก บทสรุปส่วนท้ายเรื่องมันไม่ครบ หนังก็เลยปิดสามเฟสได้ไม่อิ่มเอมเท่าที่หวังไว้ หลังจากนี้ก็รอดู Spider-Man: Far From Home อีกเรื่อง ที่จริงจะนับเป็นเรื่องสุดท้ายของแท้ของเฟสสามก็ได้ แต่เอาจริงๆ มองว่าเป็นช่วงไม้ต่อช่วงต้นเฟสสี่จะดูเข้าท่ากว่าเยอะ

เรื่องนี้ไม่มี End Credit ตอนท้าย แต่มีเสียงตีเหล็ก ซึ่งเป็นการสั่งลาโทนี่เป็นครั้งสุดท้ายจากไอรอนแมนภาคแรก หนังเรื่องแรกสุดของ MCU เมื่อ 11 ปีที่แล้ว

ตอนจบ Iron Man
ตอนจบ Iron Man

“And I….

Am Iron Man” *SNAP*


Official Site

อ่านสปอยล์เนื้อเรื่อง คลิก

อ่านรีวิวหนังเรื่องอื่น คลิก


 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!