playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Hollywood ซีรีส์โลกคู่ขนาน แฉเบื้องหลัง LGBT ในฮอลลีวูด แต่บทสรุปสร้างแรงบันดาลใจ

สรุป

เป็นซีรีส์จากผู้สร้าง Glee ที่เอาเรื่องดราม่าสุดๆในวงการฮอลลีวูดมาเล่าแบบบันเทิง ยำประวัติศาสตร์ใหม่ เรียกร้องให้กับคนนอกในสังคมคนผิวขาวของฮอลลีวูดได้มีพลัง ไม่ว่าจะเป็น LGBT คนผิวสี คนเอเชีย 

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (2 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • นำเสนอโลกของฮอลลีวูดในแง่มุมที่ไม่เคยมีใครสร้างได้ดี
  • การเดินเรื่องที่ไม่จมปลัก ถึงจะดราม่าก็เน้นความบันเทิง สมฝีมือของ Ryan Murphy ที่สร้างชื่อจากเรื่อง Glee
  • พลังของเหล่านักแสดงในเรื่องนี้ทำได้สุดยอดมาก มีบางฉากที่อาจทำให้คนดูน้ำตาซึมได้
  • ตอนจบเรื่อง มีสารสำคัญที่ทรงพลังดีเยี่ยม และวกกลับมาหาตอนแรกได้ฉลาดดี

Cons

  • ช่วงแรกเดินเรื่องเน้นมุม LGBT หนักมาก บางคนอาจรับไม่ไหว
  • ถ้าไม่รู้เรื่องฮอลลีวูดยุคนั้นมาบ้าง จะดูเรื่องนี้ยากสุดๆ เพราะหนังไม่ปูแบกกราวน์อะไรเลย
  • เส้นเรื่องบางตัวละครคลี่คลายง่ายไปนิด

Hollywood Netflix รีวิว ซีรีส์ฝรั่งโลกคู่ขนานแบบ What If ที่แฉเบื้องหลังของคนกลุ่ม LGBT ที่ขับเคลื่อนวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด ภาพรวมแล้วเป็นหนังฟีลกู้ดที่มีบทสรุปที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนได้ สมกับเป็นผลงานจาก Ryan Murphy ผู้สร้างซีรีส์วัยรุ่นชื่อดังอย่าง Glee ที่มีแฟนคลับมากมายมาแล้ว

ซีรีส์เรื่องนี้ยังได้นักแสดงชื่อดังอย่าง Jim Parson ที่โด่งดังจากซีรีส์ตลก The Big Bang Theory ในบทตัวเอกอย่าง Seldon มารับบทเป็นตัวละครสำคัญด้วย ดังนั้นการันตีพลังการแสดงได้แน่นอน

 Hollywood (2020) on IMDb

Hollywood Trailer ตัวอย่าง

Hollywood เรื่องย่อ

เรื่องราวจะเป็นแนว โลกคู่ขนาน เกี่ยวกับวงการฮอลลีวูดในอีกด้านหนึ่งที่ถูกบอกเล่าผ่านทางตัวละครหลักหลายคนที่มาจากหลากหลายระดับ แล้วยำประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดใหม่ ไม่ว่าจะเป็น

  • ชายหนุ่มอดีตทหารเรือนาวิก ที่มีความฝันอยากเป็นนักแสดงแถวหน้า
  • ผู้กำกับหนังไฟแรงที่ความจริงแล้วมีเชื้อคนเอเชีย
  • นักแสดงสาวผิวสีมากฝีมือที่ไม่ได้รับบทอะไรนอกจากคนรับใช้ตัวตลก
  • นักเขียนบทผิวสีที่ไม่สามารถประกาศตัวเองได้ แล้วยังเป็นรักร่วมเพศด้วย
  • นักแสดงหนุ่มรูปหล่อที่แท้จริงแล้วเป็นรักร่วมเพศ
  • นักแสดงสาวที่มีความฝันอยากแสดงด้วยความสามารถตนเอง
  • นักแสดงหญิงชาวจีนที่มีฝีมือระดับสุดยอด แต่ไม่สามารถแสดงนำในหนังได้เพียงเพราะเป็นคนเอเชีย
  • ผู้สร้างภาพยนตร์ที่มีสายตาแหลมคม แต่ไม่กล้าทำหนังแบบที่ตัวเองต้องการ
  • ภรรยานายทุนเจ้าของสตูดิโอที่มีวิสัยทัศน์แต่ยังขาดโอกาสแสดงความสามารถ

แต่แล้วเมื่อคนเหล่านี้ที่เป็นเสมือนตัวแทนของคนนอกในสังคม ได้มารวมตัวกัน แล้วพวกเขาก็จะสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อพลิกโฉมหน้าวงการฮอลลีวูดและโลกภาพยนตร์ พร้อมกับเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คนที่คล้ายกันทั่วโลกได้ลุกออกมาแสดงตนเอง ซึ่งอันที่จริงแล้วทุกวันนี้เราสามารถพบเห็นว่าโลกยอมรับคนที่ว่ามาทั้งหมดมากขึ้น แต่นั่นไม่ใช่กับสังคมอเมริกันในยุค 40-50

ดังนั้นโจทย์ของเรื่องจึงอยู่ที่ว่า ถ้าหากว่ามีกลุ่มคนบางกลุ่มในสมัยนั้นได้รวมพลังกันพลิกประวัติศาสตร์จากภาพยนตร์สักเรื่อง แล้วทำให้การเปิดเผยตัวตนของพวกเขาเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนนั้น โลกจะเป็นยังไงบ้าง นี่คือซีรีส์ที่จะให้แรงบันดาลใจต่อผู้คน จากฝีมือของ Ryan Murphy

Hollywood ตัวละคร

แจ็ค คาสเตลโล

ชายหนุ่มอดีตทหารเรือนาวิกโยธินที่ผ่านสงครามโลกครั้งที่ 2 มาแล้ว เขามีความฝันอยากเป็นนักแสดงแถวหน้าและหาเลี้ยงภรรยาที่กำลังตั้งท้อง ซึ่งมันกลับทำให้เขาต้องมาทำงานเป็นผู้ชายขายตัวในปั๊มแก้สของฮลลีวูดที่รับลูกค้าผู้หญิงไฮโซ แต่แล้วชะตาชีวิตก็พลิกผันเมื่อเขาได้พบกับผู้คนที่มีความฝันคล้ายคลึงกันอีกหลายคน เพื่อมาร่วมกันพลิกวงการฮอลลีวูด

เรย์มอนด์ เอนส์ลีย์

ผู้กำกับหนุ่ม ที่มีความฝันใหญ่ เขาไม่กล้าบอกใครว่าตนมีเชื้อสายเอเชีย เขามีความพยายามที่จะผลักดัน ดาราหญิง แอนนาเมย์หว่อง สาวชาวจีนมากฝีมือให้ได้เล่นในภาพยนตร์ที่น่าจะมีสิทธิ์ได้รางวัลออสการ์ แล้วเขายังอยากปั้นโปรเจคหนัง เพ็ก ที่เขียนโดยนักเขียนบทผิวสีอย่างอาร์ชี่ พร้อมกับหาทางผลักดันให้แฟนสาวผิวสีของเขาอย่างคาร์มิลได้เฉิดฉายในบทนางเอกผิวสีให้ได้ด้วย

บทบาทของเรย์มอนด์ในเรื่องนี้เป็นเสมือนคนที่มีความเข้าใจความเป็นคนนอกของเกือบทุกคน แล้วอยากจะช่วยให้ความฝันทุกคนเป็นจริงในภาพยนตร์ที่เขาสร้าง

คาร์มิล วอชิงตัน

ดาราสาวผิวสี เป็นคนเก่งมากฝีมือ แต่เพราะกำแพงเรื่องผิวสีทำให้เธอได้แต่บทคนใช้ตัวตลก เธอคบหากับเรย์มอนด์ ซึ่งอีกฝ่ายมองว่าคาร์มิลทำได้มากกว่าแค่การเป็นนักแสดงบทคนใช้

อาร์ชี่ โคลแมน

นักเขียนบทผิวสี ที่เป็นรักร่วมเพศ ถูกแจ็คดึงมาร่วมงานผู้ชายขายตัวในปั๊มด้วยกัน มีความสามารถในการเขียนบท แต่ไม่สามารประกาศตัวให้ผู้คนรู้ได้ เพราะกำแพงผิวสี แม้ว่าเขาจะเขียนบทเรื่อง เพ็ก ออกมาได้ยอดเยี่ยมก็ตาม เขาได้กลายเป็นคนรักของ ร็อก ฮัดสัน และทั้งสองก็หาทางร่วมมือกันสร้างประวัติศาสตร์ด้วยกัน

ร็อก ฮัดสัน (มีตัวตนจริง)

ดาราหนุ่มรูปหล่อที่เป็นพวกรักร่วมเพศ เขาทดสอบบทได้แย่มาก แต่มีออร่าของการเป็นสตาร์ดังที่คนจะชื่นชอบ เฮนรี่ วิลสัน จึงเซ็นสัญญากับเขาเข้าสังกัด แต่เขาก็ต้องแลกกับการใช้ร่างกายเป็นทางผ่าน กระทั่งเขาได้มาพบรักกับอาร์ชี่

แคลร์ วู้ด

ตัวจริงคือลูกสาวของผู้บริหารเอซสตูดิโอ ซึ่งเธอได้ปกปิดฐานะตัวเองมาเรียนการแสดงและแคสติ้งบท เธอมีความฝันที่จะเป็นนักแสดงมีชื่อเสียงให้ได้

เฮนรี่ วิลสัน (มีตัวตนจริง) รับบทโดย Jim Parson

ผู้จัดการและผู้ผลักดันดาราคนสำคัญในวงการ และยังเป็นพวกรักร่วมเพศที่มีอิทธิพลในวงการฮอลลีวูด ซึ่งในประวัติศาสตร์เรื่องของเขาก็ถูกเปิดเผยออกมาจริงด้วยว่าใช้ประโยชน์ทางเพศกับดาราหนุ่มในสังกัดอย่าง ร็อก ฮัดสัน

ดิ๊ก ซามูเอล

ผู้สร้างภาพยนตร์ชื่อดังในสังกัดเอซสตูดิโอ เป็นคนมีวิสัยทัศน์ แต่ด้วยข้อจำกัดหลายอย่างทำให้เขาไม่สามารถทำอะไรนอกกรอบที่ตัวเองอยากทำได้ อันที่จริงแล้วเขาก็เป็นพวกรักร่วมเพศที่ต้องปกปิดไว้เหมือนกัน

เอลเลน คินแคด

ผู้ช่วยคนสนิทของดิ๊ก เป็นคนที่เอาใจช่วยเหล่าทีมงานให้สร้างผลงานที่จะเปลี่ยนประวัติศาสตร์

เอลวิส แอมเบิร์ก

ภรรยาของ ร็อบ แอมเบิร์ก ผู้บริหารของเอซสตูดิโอ แม่ของแคลร์ เธอเป็นหญิงใจเด็ดที่กล้าตัดสินใจเสี่ยงเดิมพันสตูดิโอในการสร้างภาพยนตร์ เม็ก ที่หากไม่รุ่งก็เจ๊งกันไปเลย

แอนนา เมย์ หว่อง (มีตัวตนจริง)

ดาราสาวชาวจีนคนแรกที่ประสบความสำเร็จในฮอลลีวูด เรื่องราวของเธอเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ซีรีส์เรื่องนี้เดินเรื่องให้แบบ What If

เออร์นี่ย์ (มีตัวตนจริง)

เจ้าของปั๊มแก้ส ที่เบื้องหลังคือการจัดหาพนักงานหนุ่มๆให้กับคนในวงการ เป็นคนที่ให้โอกาสพวกของแจ็คและอาร์ชี่ได้เข้าถึงวงในของฮอลลีวูด

 

Hollywood รีวิว สนุกไหม

ซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนว What If ที่ต้องการบิดประวัติศาสตร์ของฮอลลีวูดซะใหม่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแรกที่ทำแนวนี้ แต่ความยอดเยี่ยมของซีรีส์เรื่องนี้คือ มันไม่ได้ทำมาเพื่อสนอง Need ของคนบางกลุ่ม หรือเฉพาะคนในวงการ มันเป็นซีรีส์ที่เสมือนเป็นกระบอกเสียงแทนกลุ่มคนที่มีตัวตนจริงที่ช่วยเหลือในการขับเคลื่อนโลกฮอลลีวูดมานานหลายทศวรรษ แต่เราจะพบว่าทุกครั้งที่มีการสร้างหนังหรือซีรีส์เกี่ยวกับวงการ แทบจะไม่มีการนำเสนอเรื่องของพวกเขาให้ออกมาดีเท่าไรนัก

คนกลุ่มที่ว่าก็คือ พวกรักร่วมเพศ LGBT กระเทย เกย์ ไปจนถึง คนผิวสี และคนเอเชีย จำนวนหนึ่งที่ทำงานอยู่เบื้องหลังโลกฮอลลีวูดมาตั้งแต่ยุครุ่งเรืองที่สุด แต่พวกเขากลับไม่ได้รับเครดิตอย่างที่ควร

ซีรีส์เรื่องนี้ถ้าดูผิวเผินช่วงแรก เหมือนเป็นแค่การออกมาแฉเบื้องหลังของวงการว่ามันมีการใช้ เส้นสาย เซ็กส์ (ทั้งชายและหญิง) เพื่อให้ได้มาซึ่งบทหนังที่ต้องการ ไปจนถึงการที่ผู้จัดหาดารา ผู้จัดการที่มีอิทธิพล ใช้อิทธิพลของตนในการคุมวงการนี้ โดยใช้ประโยชน์จากเรื่องทางเพศของพวกเขาด้วย (เอาจริงๆวงการมายาเมืองไทยเราก็เป็น)

แต่สิ่งที่ซีรีส์ต้องการไม่ใช่การแฉความจริงที่คนไม่ค่อยพูดถึงกันเท่านั้น มันยังเป็นการออกมาเรียกร้องแทน ดารานักแสดงบางกลุ่มที่ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมเพียงเพราะอคติเรื่องผิวสีและชาติพันธุ์ โดยไม่สนใจเรื่องความสามารถ แบบที่ในซีรีส์นำเรื่องของ แอนนา เมย์ หว่อง นักแสดงสาวชาวจีนที่มีตัวตนจริงในประวัติศาสตร์ ออกมาบอกเล่าว่า ทำไมเธอจึงพลาดบทแสดงนำในหนังสำคัญที่อาจจะทำให้เธอได้รางวัลออสการ์ ทั้งที่ตอนแคสติ้งบทนั้นเธอทำได้ยอดเยี่ยมที่สุดด้วย ซึรีส์เรื่องนี้จึงมีเนื้อหาส่วนที่ช่วยเรียกร้องความยุติธรรมให้ดาราสาวชาวจีนคนนี้ด้วย 

HOLLYWOOD

นอกจากนี้ยังมีการเอาเรื่องจริงของผู้ชายขายตัวในฮอลลีวูดมาเปิดเผย ซึ่งเรื่องของเออร์นี่ย์ เจ้าของปั้มแก๊สในเรื่อง ได้แรงบันดาลใจมาจากแมงดาจัดหาตัวจริงในวงการยุคนั้นอย่าง สก็อตตี้ บาวเออร์ ที่เรื่องของเขาถูกเปิดเผยในภายหลังว่าทำธุรกิจที่ว่านี้จริง และมีลูกค้าเป็นคนในวงการมากมาย

หรือเรื่องความสัมพันธ์แบบร่วมเพศระหว่าง ร็อก ฮัดสัน ดาราหนุ่มชื่อดังในยุคนั้น ไปจนถึงเรื่องของ เฮนรี่ วิลสัน ผู้จัดการที่มีอิทธิพลมากที่ชอบหาหนุ่มๆมาปรนเปรอก็เป็นเรื่องราวที่ถูกตีแผ่โดนมีฐานมาจากเรื่องจริง

เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการเอาความจริงมาตอกหน้าใส่คนในวงการ แต่ในขณะเดียวกัน ก็ใช้จังหวะการเล่าเรื่องที่กระชับ รวดเร็ว บันเทิง เต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด ไม่ทำให้เรื่องมันดราม่ามืดหม่นเกินไป

ในช่วงแรก คนดูอาจจะรู้สึกเหมือน กำลังดูหนังพลังชาวเกย์ แต่หลังจากดูไประยะหนึ่ง จะพบว่าทิศทางของซีรีส์คือเป็นการจับเอาบรรดาตัวเอกมาพบเจอกันแล้วร่วมมือกันสร้างภาพยนตร์ เม็ก ที่ถูกเปลี่ยนชื่อและรายละเอียดมาจากบทเรื่องเพ็ก แล้วเรื่องนี้จะเป็นการเขย่าค่านิยมและความเชื่อของโลกฮอลลีวูดชนิดที่กลับตาลปัตรไปเลย

จุดแข็งของเรื่องจึงอยู่ที่ สารสำคัญที่ซีรีส์อยากนำเสนอ การเดินเรื่องที่ไม่จมปลัก ถึงจะดราม่าก็เน้นความบันเทิง สมกับฝีมือของ Ryan Murphy ที่สร้างชื่อจากเรื่อง Glee ด้านดนตรีประกอบเรื่องที่นำมาใช้ในการตัดต่อบางฉากของเรื่องก็ช่วยให้ตัวเรื่องมีความกระฉับกระเฉงมากกว่าจะดราม่าหดหู่

ซึ่งเมื่อรวมกับพลังของเหล่านักแสดงในเรื่องนี้ทำได้สุดยอดมาก มีบางฉากที่อาจทำให้คนดูน้ำตาซึมได้ ต่อให้คุณไม่ใช่ชาว LGBT ด้วยซ้ำ โดยเฉพาะฉากงานออสการ์ในตอนสุดท้าย ที่เป็นการบิดประวัติศาสตร์ของรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 20 ซะใหม่

นอกจากนี้ซีรีส์ยังได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง Jim Parson ที่หลายคนน่าจะคุ้นหน้าเขาจากบท Sheldon ในซีรีส์ตลกชื่อดังคือ The Big Bang Theory ซึ่งการมารับบทเป็นตัวละครกึ่งร้ายในเรื่องนี้ถือว่าทำได้ยอดเยี่ยมมาตรฐานมาก ช่วยส่งเสริมบทให้นักแสดงหลายคนเด่นขึ้นมาอีก

ส่วนจุดด้อยที่แรงพอสมควรคือ ความที่หนังนำเสนอฮอลลีวูดออกมาในมุมที่คนดูบางส่วนอาจจะรับไม่ได้เอาเลย เนื่องจากมันเป็นโลกอีกด้านที่ซ่อนอยู่ในวงการฮอลลีวูดในสมัยยุคทองที่มีภาพลักษณ์ว่าเป็น ดินแดนในฝันที่สวยงาม (ซึ่งคำนี้คือรหัสที่ใช้สำหรับคนที่ซื้อบริการผู้ชายขายตัวในปั้มแก๊สด้วย) ว่าแท้จริงแล้วมันมีอะไรซ่อนอยู่ และหลายคนก็น่าจะรู้ๆกันอยู่ แต่ไม่เคยมีใครนำเสนอเรื่องราวพวกนี้ออกมาให้โลกรู้ก็เท่านั้น

จุดด้อยอีกอย่างคือ ซีรีส์ใช้เวลาช่วงแรกหมดไปกับการนำเสนอชาว LGBT ในวงการฮอลลีวูดเยอะมาก ดังนั้นถ้าเป็นคนดูที่ไม่ได้อินอะไรกับคนกลุ่มนี้ อาจจะดูซีรีส์ไม่สนุกครับ รวมถึงเนื้อหาของเรื่องที่มีความเฉพาะตัวและมีความเป็นฮอลลีวูดเอามากๆ (สมชื่อเรื่อง) ถ้าไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกับเรื่องในวงการมาบ้าง อาจจะติดตามเรื่องราวต่างๆไม่ทันเท่าไร

ในภาพรวมแล้ว เป็นซีรีส์ที่เอาเรื่องดราม่าสุดๆในวงการฮอลลีวูดมาเล่าในแบบบันเทิง ยำประวัติศาสตร์ใหม่ รวมถึงเรียกร้องให้กับคนนอกในสังคมคนผิวขาวของฮอลลีวูดได้มีพลังเอามากๆ

ติดตามรีวิวหนังซีรีส์ Original Netflix ในเว็บไซต์คลิกที่นี่

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://screenrant.com/hollywood-netflix-cast-character-guide-real-people/

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!