playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว News of the World (Netflix) ทอม แฮงค์ ในบทตะลุยตะวันตก นักเล่าเรื่องที่พาเด็กกลับบ้าน

สรุป

ทอม แฮงค์ส รับบทอดีตทหารผ่านศึกหลังยุคสงครามเหนือใต้ที่กลายเป็น นักเล่าเรื่อง แล้วต้องพาเด็กหญิงคนหนึ่งเดินทางข้ามทะเลทรายเพื่อกลับบ้าน เป็นหนังแนวคาวบอยตะวันตก ปนวิพากษ์สังคมอเมริกัน และการค้นหาตัวตนที่นำเสนอแบบฟีลกู้ด ท่ามกลางยุคสมัยที่โหดร้าย ไร้ขื่อแป

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • นำเสนออาชีพ นักเล่าเรื่อง เล่าข่าว Story Teller ที่เป็นอาชีพที่มีอยู่จริงในสมัยก่อน
  • ตัวเอกไม่ได้เก่งเวอร์ ถ้าเทียบกับหนังแนวลุยตะวันตกทั่วไป แต่มีประสบการณ์ ความเก๋า ซึ่งทำให้หนังดูเรียลดี
  • นำเสนอยุคบ้านป่าเมืองเถื่อนของอเมริกาได้ดีมาก
  • พัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างชายสูงวัยและเด็กสาวได้อบอุ่น
  • เล่าโลกของคนในฝั่งใต้ที่แพ้สงครามกลางเมืองสหรัฐได้น่าสนใจ เพราะปกติไม่ค่อยมีหนังนำเสนอฝั่งใต้หลังแพ้สงครามเท่าไหร่
  • มีพากษ์ไทยและทำได้ดีด้วย

Cons

  • หนังไม่ได้ปูพื้นทางประวัติศาสตร์อเมริกายุคนั้นไว้บ้างเลย คนที่ไม่รู้เรื่องสงครามเหนือใต้ อาจจะไม่อินกับหนัง
  • ฉากหลังดูมีหลอกเป็นบางชอต และมีฉากที่เห็นๆว่าใช้ CG ไม่เนียนอยู่ด้วย
  • เดินเรื่องค่อนข้างช้า และมีช่วงที่เดินเรื่องอืดแทรกเป็นระยะ
  • ช่วง 40 นาทีสุดท้าย จังหวะการเล่าเรื่องดูยืดเกินไป ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

News of the World Netflix รีวิว ภาพยนตร์ ทอม แฮงค์ส รับบทเป็น ผู้กองเจฟเฟอร์สัน คายล์ คิดด์ ในเรื่องราวของอดีตนายทหารผ่านศึกของสหรัฐในยุคหลังสงครามเหนือใต้ ที่กลายมาเป็น “นักเล่าเรื่อง” แล้วต้องมาช่วยพา โจฮานนา เด็กหญิงชาวเยอรมันคนหนึ่งที่ถูกลักพาตัวแล้วไปเติบโตอยู่ในเผ่าไคโอวาของพวกอินเดียนแดงแต่ก็พลัดหลงมา ให้เดินทางข้ามทุ่งหญ้าและทะเลทรายเพื่อหาหนทางกลับไปบ้านของเธอเอง

ภาพยนตร์เรื่องนี้ เป็นสไตล์ หนังคาวบอยตะวันตก หรือแนว Western ทีผสมผสานกับแนว Road Trip ดราม่า  การค้นหาตัวตน เรื่องนี้เป็นผลงานกำกับของ พอล กรีนกราส ผู้กำกับดังที่เคยสร้างผลงานอย่าง เจสัน บอร์น โดยก่อนหน้านี้ ก็เคยได้ ทอม แฮงค์ส มาร่วมนำแสดงในเรื่อง Captain Phillipe มาแล้ว ซึ่งหนังได้เข้าฉายโรงในสหรัฐก่อน จึงได้ Netflix ซื้อมาฉาย

 News of the World (2020) on IMDb

ตัวอย่าง News of the World Trailer Netflix 

 

News of the World เรื่องย่อ

เรื่องราวดัดแปลงจากนิยายในชื่อเดียวกันของ พอลเล็ต จิลส์ เล่าถึงทางใต้ของสหรัฐอเมริกาในทศวรรษ 1870 หลังจากสงครามกลางเมืองสิ้นสุดลง ด้วยชัยชนะของฝ่ายเหนือที่มีต่อฝ่ายใต้ ซึ่งนำไปสู่การเลิกทาสและการรวมสหรัฐเป็นหนึ่งเดียวภายใต้รัฐบาลกลาง ผู้คนของฝ่ายใต้ที่ยอมสละชีวิตในสงครามแต่กลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ได้สูญเสียบ้าน ที่อยู่ กิจการ และวิถีชีวิตแบบเดิมไปหมด

ซึ่งหนึ่งในทหารเหล่านั้นนั้นคือ ผู้กองเจฟเฟอร์สัน คายล์ คิดด์ หรือที่ใครๆเรียกว่า “เจฟฟรีย์ หรือ คิดส์” (รับบทโดย ทอม แฮงค์ส) อดีตนายทหารที่เคยเปิดกิจการโรงพิมพ์และมีภรรยา แต่เขาก็ได้รับผลกระทบจากสงคราม จึงได้เปลี่ยนอาชีพมาเป็น นักเล่าเรื่องราว หรือ Story Teller ที่รับจ้างเล่าข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้วเดินทางไปตามเมืองต่างๆ ด้วยลีลาการเล่าเรื่องราวของเขาที่ให้กำลังใจและความสนุกสนานกับผู้คน

เขาเดินทางมาจนกระทั่งได้มาพบกับ โจฮานนา (รับบทโดย เฮเลนน่า เซนเกล) เด็กหญิงชาวเยอรมัน ที่ถูกพวกอินเดียนแดงลักพาตัวไปตั้งแต่เด็ก ทำให้เธอคุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบอินเดียนแดงและไม่สามารถสื่อสารกับคนผิวขาวแบบปกติได้

คิดส์จึงตัดสินใจพาเด็กหญิงออกเดินทางข้ามทุ่งหญ้า ทะเลทราย เดินทางผ่านเมืองต่างๆทางใต้ เพื่อพาเด็กหญิงไปส่งที่บ้านญาติที่ยังเหลืออยู่ของเธอ ซึ่งระหว่างการเดินทาง ทั้งสองก็ได้เริ่มสร้างมิตรภาพ ความผูกพันต่างวัย ไปจนถึงการค้นหาตัวตนที่คิดส์เองก็อาจจะหลงลืมไป รวมถึงการสำรวจโลกของสหรัฐในยุคบ้านป่าเมืองเถื่อน หลังสงครามกลางเมือง ที่ทุกอย่างได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

News of the World Netflix รีวิว ภาพยนตร์ ทอม แฮงค์สNews of the World รีวิว

เป็นที่รู้กันมานานสำหรับแฟนภาพยนตร์ว่าเรื่องไหนที่มี ทอม แฮงค์ส แสดงนำ การันตีได้เลยว่า ไม่มีคำว่าห่วย ทุกเรื่องที่เขาแสดงเป็นหนังดีแน่นอน แต่จะดีมากหรือแค่ระดับกลางๆ เท่านั้น

สำหรับ News of the World ก็ถือว่าอยู่ในระดับกลางๆของผลงาน ทอม แฮงค์ส แต่ถ้าหากตัดมาตรฐานของแฮงค์สออกไป นี่คือหนังน้ำดีมากๆ เรื่องหนึ่งเลยครับ

พลอตเรื่องเป็นหนังแนว Road Trip ในแดนตะวันตก ที่ผสมผสานบรรยากาศของหนังคาวบอยยุคเก่า กับการสำรวจและค้นหาตัวตนของตัวละครในสไตล์หนังดราม่ายุคใหม่ ที่สำคัญคือมันไม่ใช่หนังคาวบอยธรรมดา แต่มีการสอดแทรกประวัติศาสตร์ การวิพากษ์สังคมสหรัฐ ไปจนถึงการนำเสนอมุมมองของผู้คนที่ดูเหมือนถูกหลงลืมไป และไม่ค่อยได้ถูกนำมาบอกเล่าเท่าไรนักในหนังคาวบอยตะวันตก โดยเฉพาะการเลือกช่วงหลังสงครามเหนือใต้จบลงไม่นาน แล้วมาเน้นเล่าเรื่องของชีวิตและสังคมของคนฝ่ายใต้ ซึ่งเป็นผู้แพ้สงคราม เป็นการเล่าในมุมที่ค่อนข้างสดใหม่าพอสมควรสำหรับหนังคาวบอยอเมริกัน

หนังมีการสอดแทรกปรัชญาและการวิพากษ์สังคมหลังจากเดินเรื่องไประยะหนึ่ง โดยเฉพาะช่วงที่ตัวเอกเดินทางมาถึงเมืองอีราธ ซึ่งดูเหมือนต้องการจงใจจิกกัดสังคมสหรัฐ โดยเฉพาะในสมัยของ ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และนโยบาย America First อย่างจงใจเอามากๆ เพียงแต่การเดินทางในพาร์ทนี้ก็เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวพันอะไรกับเนื้อเรื่องหลักเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ดูเหมือนช่วงกลางเรื่อง มันกำลังกลายเป็นหนังวิพากษ์การเมือง ซึ่งดูจะหลุดจากประเด็นหลักที่หนังต้องการนำเสนอเกินไปหน่อย แต่ถ้ามองในแง่ของ “สาร” ที่หนังต้องการสื่อ ก็จัดว่าทำได้น่าสนใจครับ

จุดเด่นสำคัญของหนังคือ เคมีการแสดงระหว่าง ทอม แฮงค์ส และ เฮเลน่า เซนเกล ที่มารับบทเป็นเด็กหญิง โจฮานนา ถือว่าเป็นจุดแข็งมากถึงมากที่สุดของหนัง คือเราต้องชมแฮงค์ส ที่แกเล่นเข้าบทกับใครก็ดูเหมือนจะสามารถช่วยดันการแสดงของอีกฝ่ายให้ดูเด่นขึ้นมาได้ ซึ่งสาวน้อยเซนเกล มีการแสดงที่ดูสะดุดสายตามากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนังดำเนินเรื่องไประยะหนึ่ง

นอกจากนี้หนังยังมีความแปลกใหม่ในแง่ของอาชีพของตัวเอกอย่างคิดส์ที่ทำงานเป็นนักเล่าเรื่อง ซึ่งหากให้อธิบายตัวตนของอาชีพนี้ในบริบทสังคมตะวันออก ก็คงเทียบได้กับ วณิพกพเนจร ที่หารายได้ด้วยการเล่าเรื่องราว นิทาน และอ่านหนังสือให้ผู้คนได้ฟัง ซึ่งเป็นอาชีพหนึ่งที่มีอยู่จริงในยุคสมัยที่คนอ่านออกเขียนได้ยังมีจำกัด และความบันเทิงที่ช่วยปลอบประโลมจิตใจให้ผู้คนในยุคสมัยที่ยากลำบากมีอยู่เพียงไม่กี่อย่าง ซึ่งการฟังเรื่องราวชวนหัว เรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ ก็เป็นความบันเทิงแบบหนึ่ง ซึ่งตัวหนังขับเน้นจุดนี้ได้ดีมาก และก็จบเรื่องราวในจุดนี้ได้ดีด้วย ทำให้เป็นหนังที่นำเสนอโลกเทาๆ ดิบๆ ในสังคมและยุคสมัยที่ป่าเถื่อนให้ออกมาได้เป็น Feel Good หลังจากเรื่องราวจบลงแล้ว

แต่จุดด้อยของหนังเรื่องนี้ก็มีไม่น้อยครับ อันหนึ่งที่ไม่น่าเกิดขึ้นเลยก็คือความหลอกตาของ CG และกราฟฟิก ที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้นเลย โดยเฉพาะฉากดวลปืนช่วงต้นเรื่อง คือดูออกเลยว่าพาร์ทนี้ใช้ฉากในสตูดิโอและดูเหมือนงบถูกจำกัดซะอย่างนั้น แต่ปัญหานี้ไม่เกิดขึ้นในฉากช่วงท้ายเรื่อง ที่ให้ความสำคัญกับฉากในการเดินทางของสองตัวเอก

จุดด้อยอีกอย่างที่จะทำให้คนดูหนังเรื่องนี้ไม่อิน ก็คือหนังไม่ได้บอกเล่าบริบทของสหรัฐในยุคนั้นให้คนดูทั่วไปได้เข้าใจก่อนว่า มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมสังคมถึงดูบ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนั้น ซึ่งถ้าเป็นคนที่รู้เรื่องราวความขัดแย้งที่เกิดจากสงครามกลางเมืองในสหรัฐมาก่อนก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นคนดูทั่วไปอาจต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะตั้งหลักได้ รมถึงช่วงกลางเรื่องที่มีการวิพากษ์สังคมอเมริกันที่ออกจะลึกเกินไปสักหน่อย สำหรับคนที่ไม่เก็ต

ช่วงท้ายเรื่อง ยังเป็นทั้งจุดเด่นและจุดด้อยในเวลาเดียวกัน ซึ่งในแง่จุดเด่นคือการสร้างบรรยากาศการเดินทางที่ยากลำบากของทั้งสองตัวละคร แต่จุดด้อยคือ มันยืดมาก ใช้เวลาและแอร์ไทม์กับสิ่งที่ไม่จำเป็นมากเกินไปสักหน่อย ตรงนี้น่าจะทำให้มันกระชับขึ้นมาอีกนิด หรืออาจจะไปเล่นประเด็นกับเผ่าอินเดียนแดงที่หนังอุตส่าห์ปูพื้นมาแล้ว แต่หนังกลับแตกแค่ผิวๆ ตรงนี้เข้าใจว่าอาจเพราะหนังกลัวจะเกิดประเด็นดราม่าหรือไม่ก็ได้

สรุปภาพรวมแล้ว นี่เป็นหนังน้ำดี แนวเดินทางในโลกตะวันตก สไตล์หนังคาวบอย และ ทอม แฮงค์ส ยังคงการันตีหนังที่แสดงว่า เป็นหนังดีทุกเรื่อง แต่ใครจะชอบมากน้อยหรือไม่ก็อยู่ที่รสนิยมและความชอบของแต่ละคนด้วยครับ

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt6878306/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!