playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Sinner SS 1-3 พลิกแนวสืบสวน ค้นหาแรงจูงใจของฆาตกรสุดซับซ้อนซ่อนเงื่อน! (อัพเดท SS3)

  • The Sinner ss1 - 8/10
    8/10
  • The Sinner ss2 - 7/10
    7/10
  • The Sinner ss3 - 6.5/10
    6.5/10

สรุป

เป็นซีรีส์สืบสวนที่พยายามหาทางฉีกจากแนวเดิมๆ เน้นหาแรงจูงใจของฆาตกรที่ดูแล้วเหมือนพวกเขาเป็นเหยื่อที่ทำให้น่าเห็นใจด้วย มีจุดหักมุม การเล่าเรื่องอืดไปบ้าง นักแสดงหลักก็มีอายุ บางคนอาจจะไม่ชอบ

Overall
7.2/10
7.2/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

ซีซัน 1

  • เป็นซีรีส์สืบสวนที่ฉีกแนวทางดี ชวนให้ลุ้น
  • ดูแล้วเอาใจช่วยพระเอกให้สืบหาความจริงเพื่อลดโทษให้ฆาตกร
  • การเชื่อมโยงปริศนาและแรงจูงใจทำได้น่าสนใจมาก เน้นปมจิตวิทยาที่ชวนลุ้น

ซีซัน 2

  • กล้าเล่นแนวเรื่องที่ใช้เด็กเป็นคนก่ออาชญากรรม
  • ชวนให้เอาใจช่วยให้ฆาตกรเด็กพ้นผิด
  • ปมเบื้องหลังซับซ้อนและเล่นกับเรื่องศีลธรรมของสังคมชนบทในสหรัฐได้ดี

ซีซัน 3

  • ซีซันนี้มีแก่นสารสำคัญที่น่าสนใจ และชัดเจนจนถึงตอนจบ
  • พยายามฉีกแนวจากสองซีซันก่อน ทำให้เดาทางยากขึ้น
  • นักแสดงใหม่โดดเด่นมาก

Cons

ซีซัน 1

  • เดินเรื่องช้า
  • ปมจิตวิทยาในเรื่องน่าสนใจก็จริง แต่พอมาย้อนคิดทีหลังก็ไม่น่าเชื่อว่าจะกระตุ้นให้ตัวละครก่อเหตุได้
  • ความบังเอิญในเรื่องการก่อคดี มันบังเอิญมากเกินไป

ซีซัน 2

  • เพิ่มปมของนักสืบแอมโบรส แต่ไปทำให้การเดินเรื่องรกเกินไป และปมไม่น่าสนใจเท่าไหร่ด้วย
  • เดินเรื่องอืดกว่าซีซันแรกอีก
  • ภาพรวมเดาเรื่องได้ง่ายขึ้นเยอะ ถึงแม้ปมหักมุมสุดท้ายจะเดายากมาก

ซีซัน 3

  • การเดินเรื่องที่เน้นปมจิตวิทยายิ่งกว่าเดิม ทำให้ดูหม่นหมองขึ้น
  • เป็นซีซันที่ดูแล้วไม่ค่อยอยากเอาใจช่วยตัวเอกเท่าไหร่นัก
  • ฉากเผชิญหน้าตอนจบ ถ้าคนชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็ไม่ชอบเลย
  • ตัวร้ายพลาดง่ายเกินไป

The Sinner Netflix ss 1-3 รีวิว คนบาป ซีรีส์ฝรั่งแนวสืบสวนที่พลิกการเล่าเรื่องใหม่ เพราะเฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ฉากแรก แต่เรื่องจะมุ่งเน้นการค้นหาความจริงที่ซ่อนอยู่ รวมถึงแรงจูงจงใจ ซึ่งเมื่อขุดค้นไปเรื่อยๆ เรื่องราวกลับโยงไปสู่ความจริงเบื้องหลังที่มีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนที่สุดหักมุมอย่างไม่น่าเชื่อ

เรื่องราวจะแบ่งหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีใหญ่ ซึ่งก็ไม่ได้เชื่อมต่อกัน แต่ทั้งสองคดีมีคอนเซปต์หลักที่คล้ายกันคือ ฆาตกรแต่ละซีซันดูเหมือนเป็นคนธรรมดาที่ไม่ได้มีพิษภัยอะไร และไม่น่าจะมีเหตุให้ลงมือฆาตกรรม แต่เมื่อตัวเอกลองสืบสวนลึกลงไปกลับพบว่ามันมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าที่เห็น รวมถึงเล่นปมทางจิตวิทยาที่น่าสนใจ

แล้วในที่สุดเรื่องราวจากทั้งสองคดีที่ถูกเปิดเผยออกมาก็ทำให้เราพบว่า บางทีคนบาปตัวจริงอาจจะไม่ใช่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าเสมอไป แต่พวกเขาเป็นเพียงเหยื่อที่อยู่ปลายทางของการก่ออาชญากรรมโดยคนที่มีฉากหน้าว่าเป็น “คนดี” ต่อสังคมมากกว่า

ตัวอย่าง The Sinner SS1 

The Sinner SS1 รีวิว

ซีซัน 1 เกิดคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญไปทั่วชายหาดแห่งหนึ่งของเมืองเล็กๆที่แทบไม่มีคดีร้ายแรงแบบนี้เกิดขึ้น เมื่อหญิงสาว โคร่า ที่เดินทางมาเที่ยวพักผ่อนพร้อมครอบครัวคือสามีและลูกสาว จู่ๆกลับก่อเหตุเอามีดไปจ้วงแทงชายคนหนึ่งที่กำลังพลอตรักกับแฟนสาวอยู่บนชายหาด ท่ามกลางพยานผู้เห็นเหตุการณ์นับร้อยคน

ด้านหญิงสาวก็รับสารภาพทุกข้อกล่าวหา พร้อมกับที่เธอไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมถึงลงมือ ทำให้คดีร้อนถึง เจ้าหน้าสืบสวน แฮรี่ แอมโบรส ต้องเข้ามาสืบค้นหาความจริงที่ลึกลับของคดีนี้ว่า ทำไมหญิงสาวคนหนึ่งที่ดูภายนอกแล้วรักสามีและลูก ไม่ได้มีปัญหาอะไร ถึงก่อคดีเช่นนั้น

ก่อนอื่นต้องบอกว่า ซีรีส์แนวสืบสวนทั่วไป จะมีแพทเทิร์นอย่างหนึ่งที่เราพบเห็นเป็นประจำคือ เกิดคดี นักสืบ หรือทีมงานเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ พบผู้ต้องหา หรือพยาน สอบปากคำ ค้นหาความจริง ค้นหาว่าฆาตกรคือใคร เชื่อมโยงสิ่งที่เกี่ยวข้อง ออกตามล่าฆาตกร และหลายคดีก็จะพบเบื้องหลังอื่นๆอีก

แต่เรื่องนี้มีความพยายามที่จะฉีกแนวทางการเล่าเรื่อง นั่นคือตัวเรื่องจะมีการเฉลยตั้งแต่ 10 นาทีแรกในตอนแรกสุดของแต่ละซีซันว่า คนร้ายคือใคร รวมถึงวิธีสังหารด้วย (ซีซัน 1 และ 2 ใช้วิธีนี้หมด)

เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่จะไม่ต้องสืบหาเลยในซีรีส์นี้ก็คือ ฆาตกร และ วิธีสังหาร แต่ซีรีส์กลับโยนระเบิดลูกใหญ่เข้ามาหาคนดูแทน นั่นคือเราจะพบว่าฆาตกรในเรื่อง ดูแล้วเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นคนที่ไม่น่าจะลงมือก่อการอะไรด้วยซ้ำ

แต่พวกเขาทำไปแล้ว แบบนี้จะรอดพ้นโทษได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่ท้าทายซีรีส์เรื่องนี้คือ การสืบค้นหา “แรงจูงใจ” ของการฆาตกรรม ที่มีความสลับซับซ้อนมากกว่าที่ตาเห็น

โดยตัวเรื่องจะแบ่งเป็นหนึ่งซีซันต่อหนึ่งคดีหลัก และในระหว่างนั้นก็ไม่มีคดีย่อยด้วย คือทั้งซีซันมุ่งสู่การค้นหาความจริงในคดีเดียวล้วนๆ ทำให้เรื่องนี้มีจุดเด่นในแง่เป้าหมายการสืบสวนที่ชัดเจน

ในซีซันแรก เรื่องที่เป็นจุดเด่นมากของซีรีส์ ต้องยกให้นักแสดง โดยเฉพาะ บิล พูลแมน นักแสดงรุ่นใหญ่ที่หลายคนคุ้นเคยจากภาพยนตร์แอ็กชั่นไซไฟเรื่อง ID4 ส่วนนักแสดงประจำซีซัน คนที่ต้องชื่นชมเป็นพิเศษคือ ฆาตกรทั้งสองคดี โดยซีซันแรกได้ดาราหญิง เจสซิก้า เบล ที่ก่อนหน้านี้มีผลงานภาพยนตร์อย่าง The Illutionist (2005), Total Recall (2012) มารับบทเป็น โครา ฆาตกรในซีซันแรก ซึ่งเธอแสดงบทของหญิงสาวที่ภายนอกดูไม่มีพิษภัย แต่เราสามารถรับรู้ได้ถึงความผิดปกติบางอย่างของเธอได้

ตัวเรื่องจะเล่าสลับไปมาระหว่าง ปัจจุบัน กับ อดีตของโครา ว่าเธอถูกเลี้ยงดูมายังไง ปมในครอบครัวที่คาดไม่ถึง รวมถึงการกระทำบางอย่างจากในอดีตที่ส่งผลกระทบมาถึงปัจจุบันของเธอเอง ทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักสืบแอมโบรสต้องคอยสืบค้นไปด้วย ซึ่งบทสรุปค่อนข้างหักมุมเอามากๆ

เนื่องจากการสืบสวนจะไม่ใช่ค้นหาว่า ใครฆ่า แต่เป็นการค้นหาสิ่งที่อยู่เบื้องหลังและแรงผลักดันของการกระทำที่ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวอะไรกัน ทำให้ซีซันแรกมีความน่าติดตามเอามากๆ อีกทั้งการที่ตัวเอกยิ่งสืบสวนลงไปกลับยิ่งพบความลับดำมืดที่คาดไม่ถึงมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็อาจจะพบว่า ที่แท้จริงแล้ว คนบาป ที่ถูกตราหน้า อาจจะไม่ใช่ฆาตกรที่ลงมือฆ่าคน แต่เป็นคนอื่นที่ภายนอกดูหน้าฉากเป็นคนดีของสังคมก็ได้

แต่จุดด้อยก็มีพอสมควร เช่น งานสร้างที่ดูแล้วรู้สึกได้ว่าเป็นงานทุนต่ำ แต่ก็ดูเหมือนเป็นความตั้งใจของทีมสร้าง เพราะคดีทั้งสองเกิดขึ้นในชนบทของสหรัฐ จึงให้บรรยากาศที่ดูไม่น่าไว้ใจ ผู้คนที่ดูแล้วมีอะไรซุกเงื่อนงำไว้

อีกจุดที่ด้อยพอสมควรคือ การเดินเรื่องที่แม้ว่าเป้าหมายการสืบสวนคดีจะชัดเจน แต่การเล่าเรื่องค่อนข้างช้า จนถึงช้ามาก ทำให้หลายคนที่ไม่ชอบแนวทางสืบสวนสไตล์ คุยไปคุยมาเพื่อหาความเชื่อมโยง ปนดราม่าโคตรๆ ของตัวละคร ทั้งฝั่งนักสืบและฆาตกร อาจจะไม่ชอบการเล่าเรื่องเอาซะเลย

สำหรับการเฉลยความจริงของคดี ถือว่ามีการหักมุมที่คาดไม่ถึง คือเชื่อได้ว่าคนดูตอนแรกคงคิดไม่ออกว่า เรื่องมันจะลากและเชื่อมโยงมาได้จนถึงบทสรุป เรื่องจึงเป็นประมาณว่า ถ้าหากนี่เป็นคดีที่เกิดขึ้นจริง คงเป็นการยากที่จะสืบสวนด้วยวิธีการธรรมดาๆ แล้วความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังแรงจูงใจของฆาตกรในเรื่องนี้อาจจะหายไปกับสายลมเลยก็ได้


ตัวอย่าง The Sinner Ss2 

The Sinner SS2 รีวิว

ซีซัน 2 นักสืบแอมโบรสต้องกลับมารับหน้าที่สืบสวนคดีฆาตกรรมปริศนาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสาว เฮเธอร์ ลูกสาวของเพื่อนเก่าของแอมโบรสได้ติดต่อมาขอความช่วยเหลือจากเขาให้มาช่วยไขคดีฆาตกรรมร้ายแรง ที่สุดสดแสนจะเป็นปริศนา เมื่อเธอพบว่า เด็กชายผิวสีที่ดูใสซื่ออย่าง จูเลียน กลับเป็นคนลงมือวางยาใส่พ่อแม่ของตนจนเสียชีวิตโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

ซีซัน 2 ยังคงมาแนวทางเดียวกับซีซันแรกคือ เฉลยตัวฆาตกรตั้งแต่ฉากแรก รวมถึงวิธีสังหาร แต่เราต้องมาค้นหาว่า อะไรคือสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง แรงจูงใจ แรงผลักดัน หรือปมทางจิตวิทยาอื่นๆที่นำไปสู่การลงมือฆ่า

ซึ่งในซีซันนี้เรื่องมีความกล้าและโหดเอามากๆ เพราะฆาตกรคือ เด็กชายที่อายุยังไม่เกิน 12 ปี แถมยังเป็นการทำปิตุฆาตซะด้วย แต่มันเป็นแบบนั้นแน่หรือ??? นี่คือสิ่งที่เรื่องโยนระเบิดให้คนดู

จุดเด่นของซีซันนี้ ที่ต้องชมเลยคือ อีไลชา เฮนิก ที่แสดงเป็น จูเลียน เด็กน้อยที่เป็นฆาตกรซึ่งแสดงได้เกินอายุมาก ส่วนตัวละครหลักอีกคนในซีซัน 2 คือ ตำรวจสาว เฮเธอร์ ที่จะมาร่วมมือกับแอมโบรส ตัวเอกของเรื่องสืบค้นหาความจริง ก็แสดงได้ดี

ในส่วนของการเดินเรื่อง เนื่องจากบทมีความชัดเจนว่าต้องการสืบหาอะไร ทำให้เรื่องเดินไป ได้แบบไม่ออกทะเล บทพูดหลายซีนไม่ได้สร้างมาลอยๆ หรือไม่มีความหมาย แต่มีการเชื่อมโยงไปถึงคดีด้วย

เรื่องยังคงนำเสนอประเด็นคนบาปตัวจริง ที่ซุกซ่อนอยู่ ว่าอะไรหรือใครกันแน่ที่ส่งผลกระทบสืบเนื่องมาทำให้เกิดเหตุฆาตกรรมไม่คาดฝันโดยเด็กชายที่ดูใสซื่อคนหนึ่ง

แต่ภาคนี้มีจุดด้อยพอสมควร ที่เห็นชัดคือ จังหวะการเดินเรื่องไม่สมูทเท่าซีซันแรก อีกทั้งตัวเรื่องพยายามไปเล่นปมจิตวิทยาของตัวเอกอย่างแอมโบรสเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มมิติตัวละคร และเป็นการเชื่อมโยงให้เจ้าตัวมีความเห็นใจเด็กชายจูเลี่ยนและตัวละครที่เพิ่มเข้ามาในซีซันนี้ด้วย แต่กลับกลายเป็นว่าทำให้ตัวเรื่องดูรกและชักช้าเกินไป จนคดีในซีซัน 2 ดูมีปมมากเกินเหตุ

สำหรับการเฉลยความจริงของคดี เบื้องหลังที่โคตรจะเบื้องหลังมีปมหักมุมเหมือนคดีแรก เรื่องเล่นประเด็นทางศีลธรรมของมนุษย์กับเรื่องปัญหาทางเพศเพิ่มเติม ว่าเป็นต้นเหตุของคววามเลวร้ายอย่างอื่นตามมา แต่ภาพรวมแล้วยังทำไม่ถึงเท่ากับซีซันแรกเท่าไหร่ แต่ก็เป็นแนวสืบสวนที่ยังคงดูได้

ภาพรวมทั้งสองซีซัน ผลงานค่อนข้างดีและมีความสด ทำให้เดาทางได้ยาก แม้จะเดินเรื่องช้าไปบ้าง แต่ในซีซันสองพบว่าภาพรวมของเรื่องดรอปลงพอสมควรในแง่ความสมจริง แต่ยังดีที่สามารถนำไปสู่บทสรุปที่น่าพอใจเกินคาดได้

สรุปแล้ว เป็นซีรีส์สืบสวนที่พยายามหาทางฉีกไปจากแนวเดิมๆ แม้ว่าการเล่าเรื่องจะอืดไปบ้าง อีกทั้งนักแสดงหลักมีอายุแล้ว คนดูที่ไม่ใช่แนวนี้อาจจะไม่ชอบ แต่คอนเซปต์ของเรื่องถือว่าน่าสนใจเลยทีเดียว ส่วนจุดหักมุม อาจจะไม่ถึงขั้นอึ้งตะลึงมากนัก แต่คนเขียนบทก็เข้าใจทำในการเชื่อมโยงปริศนาได้ดี สามารถรับชมเรื่องนี้ได้ใน Netflix ส่วนซีซัน 3 กำลังจะมาวันที่ 19 มิถุนายนนี้แล้ว ส่วนตัวเรื่องเป็นเรต 18+ มีฉากรุนแรงและเรื่องทางเพศด้วย


ตัวอย่าง The Sinner ss3 

The Sinner ss3

การกลับมาในซีซัน 3 ของ นักสืบแอมโบรส ที่ต้องเผชิญหน้ากับคดีฆาตกรรมปริศนา แต่ในภาคนี้ รูปแบบการเดินเรื่องได้แตกต่างจากสองซีซันที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ในซีซัน 1 และ 2 เรื่องเปิดมาด้วยคดีฆาตกรรมที่คนดูจะทราบตัวฆาตกรตั้งแต่แรก แต่จะพบว่าฆาตกรเหล่านั้นดูไม่น่าจะมีแรงจูงใจให้ลงมือเอาซะเลย แถมทั้งสองซีซันที่ผ่านมา ฆาตกรทั้งสองคนนั้น พวกเขาเป็นแค่ ผู้หญิงธรรมดา และเด็กชายคนหนึ่ง ดังนั้นปริศนาของเรื่องก็คือการตามสืบหาว่า เกิดอะไรขึ้น ถึงทำให้คนธรรมดาแบบนั้นกลับลงมือฆ่าคนด้วยวิธีที่ค่อนข้างโหดซะด้วย ซึ่งในบทสรุปของทั้งสองซีซันก็ทำออกมาได้ดี เพราะกลายเป็นว่าคนร้ายทั้งสองคนนั้นแท้จริงแล้วคือเหยื่อซะมากกว่า แล้วพวกเขาก็ไม่ได้ถูกลงโทษถึงชีวิต หรือจะต้องติดคุกยาวนาน แต่ได้รับการลดหย่อนโทษตามสมควรจากความผิดที่พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจก่อ

แต่ซีซัน 3 เรื่องราวนำเสนอเปลี่ยนแปลงไปหมด แม้ว่าจะยังมีจุดที่เหมือนกันอยู่คือ คนร้ายในซีซันนี้ ก็ดูเป็นชายหนุ่มธรรมดาทั่วไป

เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อ เจมี่ (นำแสดงโดย Matt Bomer) ชายหนุ่มที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนมัธยมหญิงล้วนในชานเมือง ภายนอกเป็นคนดูดีมีเสน่ห์ เป็นที่รักใคร่ของนักเรียน ตัวเขาก็มีภรรยาที่กำลังท้องแก่ใกล้คลอด ดูแล้วไม่น่ามีพิษมีภัยอะไรกับใคร แต่แล้วคืนหนึ่ง กลับมีเพื่อนเก่าของเขามาเยี่ยมถึงบ้าน แล้วก็กลายเป็นว่าหลังจากนั้นเพื่อนของเขากลับเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ตัวเขารอดมาได้

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่นักสืบแอมโบรส์ได้รับหน้าที่เข้ามาสืบสวน และเขาก็พบว่าที่จริงแล้วอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมันมีอะไรมากกว่านั้น รวมถึง เจมี่ ครูมัธยมมากเสน่ห์ ก็มีอะไรที่ซ่อนอยู่ในตัวเขาด้วย

ในภาพรวมแล้ว ซีซัน 3 พยายามที่จะหาทางฉีกแนวเรื่องให้แตกต่างออกมาจากซีซันก่อน เจมี่ ซึ่งเป็นคนร้ายในซีันนี้ดูแล้วไม่ได้เป็นคนน่าสงสารมากเหมือนกับสองคดีก่อน (ที่เป็นผู้หญิงและเด็ก) แล้วที่เพิ่มเข้ามาในภาคนี้ก็คือ การล้วงลึกในเชิงปมจิตวิทยาที่อาจจะดูแล้วมืดหม่นและมีบทพูดที่เข้าใจยากไปบ้าง เพราะมีการอ้างอิงคำพูดในเชิงปรัชญาตะวันตกพอสมควร โดยเฉพาะปรัชญาของนีทเช่ ที่ถือว่าเป็นคีย์หลักของเรื่อง โดยเฉพาะประโยคที่บอกว่า “ถ้าเราจ้องมองนรกนานเกินไป นรกจะจ้องเรากลับ” ซึ่งประโยคนี้เองที่เป็นคีย์สำคัญของเรื่อง โดยเฉพาะในตอนท้าย จากการเผชิญหน้ากันระหว่างแอมโบรสและเจมี่

ข้อเด่นของซีซัน 3 เท่าที่เห็นคือ การฉีกแนวไปจากสองซีซันก่อน ที่ช่วยให้ไม่จำเจเกินไป เดาทางได้ยากว่าบทสรุปจะเป็นยังไงต่อไป อีกทั้งนักแสดงในบทเจมี่ ที่ได้ Matt Bomer ก็ทำได้ดีเอามากๆ เนื่องจากรูปร่างหน้าตาที่โดดเด่น เรียกว่าเขาไปเป็นพระเอกซีรีส์สักเรื่องได้สบายมาก การแสดงของเขาก็เฉียบขาด ทั้งในช่วงที่ยังไม่เกิดเรื่องกับช่วงที่อดีตของเขาเริ่มเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ แสดงได้โรคจิตดี

แต่ข้อด้อยนั้น สำหรับคนที่เข้ามาดู The Sinner โดยคาดหวังรสชาติแบบเดิมๆอาจจะผิดหวัง เพราะซีซันนี้มีเรื่องราวที่มืดหม่นมากขึ้น การเดินเรื่องช้า แต่ในช่วงสองตอนสุดท้าย คนดูอาจจะเริ่มเข้าใจสารสำคัญของซีซันนี้มากขึ้น เพราะเหมือนเรากำลังรับชมเรื่องราวของคนที่กำลังจะกลายเป็น “วายร้าย” ในหนังสืบสวนหรืออะไรสักอย่าง ว่าถ้าเขาถูกบีบคั้นมากๆด้วยวิธีการช่วยเหลือที่อาจจะไม่ค่อยเข้าท่านัก ผลมันจะออกมาเป็นยังไงบ้าง แม้ว่าตอนสุดท้ายที่เป็นบทสรุปของเรื่องจะทำออกมาแล้วขัดใจคนดูอยู่บ้าง (ในเว็บ IMDB ให้คะแนนตอนจบของซีซัน 3 ไม่ดีนัก)

แต่ในมุมหนึ่งมันก็เหมือนเป็นการสอนคนดูด้วยว่า จะทำตัวเป็นคนร้าย มันไม่ได้ออกมาดีนักหรอก อย่าไปทำเลย และตำรวจในโลกจริงๆไม่มารอเสียเวลาต่อปากต่อคำกับคนร้ายเหมือนในซีรีส์ที่เราดูกัน ถ้ายิงได้เขายิง เพราะงั้นจะมาเล่นเป็นคนร้าย มันไม่สนุกในความเป็นจริงนักหรอก ซึ่งถ้ามองในมุมนี้ ก็ถือว่าซีรีส์นำเสนอออกมาได้ดีแล้ว

สรุปแล้ว ซีซัน 3 เป็นความพยายามฉีกแนวทางของเรื่องให้ไม่ซ้ำซาก ถึงแม้ว่าในแง่บทอาจจะดูแปร่งๆอยู่บ้าง แต่สารสำคัญของซีซันนี้มีความชัดเจน และควรรับชม

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt6048596/?ref_=ttfc_fc_tt

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!