playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

[รีวิว ]WE CAN BE HEROES รวมพลังเด็กพันธุ์แกร่ง หนังล้อเลียนจิกกัดฮีโร่แบบเบา ๆ

WE CAN BE HEROES รวมพลังเด็กพันธุ์แกร่ง

สรุป

หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกย้อนวันวานเมื่อเรายังนั่งดู Spy kids ที่เหล่าเด็ก ๆ จะได้มาโชว์ของให้รู้ว่า ฉันเจ๋งกว่าผู้ใหญ่ ภายในเรื่องมีฉากจิกกัดเหล่าฮีโร่แบบเบา ๆ ให้เราได้สนุกและเพลิดเพลินไปกับเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้จะมีความไม่สมเหตุสมผลเยอะมาก ถ้าใครไม่ชอบอาจจะต้องผ่านไปได้เลย

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
4 (4 votes)

Pros

  • ให้ความรู้สึกเหมือนได้ดูหนัง Spy Kids ย้อนวันวานเก่า ๆ
  • หนังจิกกัดซูเปอร์ฮีโร่ทำออกมาได้ขำมาก
  • หนังดูสบาย ๆ พร้อมกับครอบครัวได้
  • มีเสียงพากย์ไทย

Cons

  • การกำกับการแสดงร่วมกับการใช้ซีจีทำออกมาได้ไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่
  • ถ้าใครเน้นหาความสมเหตุสมผล เรื่องนี้ไม่มีให้หรอกนะ
  • มีความเป็นการ์ตูนมากเกินไป
  • ชุดคอสตูมล้อเลียนคอมิคฮีโร่จึงไม่ค่อยสวยซักเท่าไหร่

WE CAN BE HEROES เป็นหนังทุนสร้างที่สูงอีกเรื่องของเน็ตฟลิกซ์ที่จะหยิบยกเรื่องราวของ The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D ที่ผ่านไปนานหลายปีแล้ว จนพวกเขาแต่งงานและมีลูกกัน แต่ภัยร้ายที่โลกยังไม่หมด ทำให้พวกเขาต้องเข้าร่วมทีม ฮีโร่อิกส์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มฮีโร่ที่แกร่งที่สุดในโลกเพื่อปกป้องโลกจากเหล่าวายร้าย ภายในเรื่องนี้นักแสดงหลักสองคนที่เป็นเอกจากเรื่อง Sharkboy and Lavagirl ได้กลับมาแสดงอีกครั้งในเวอร์ชั่นตอนโตอีกครั้ง นี้ถือว่าเป็นการเซอร์ไพรส์แฟน ๆ เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เรื่องนี้มีลงใน Netflix kids ด้วยนะ พร้อมภาษาไทยให้รับฟังกันได้เลย

 We Can Be Heroes (2020) on IMDb

รับชมตัวอย่าง WE CAN BE HEROES รวมพลังเด็กพันธุ์แกร่ง

เรื่องย่อในโลกปัจจุบันมีกลุ่มฮีโร่ที่แกร่งที่สุดมีชื่อว่า ฮีโร่อิกส์ พวกเขาได้พบสัญญาณของเหล่าเอเลี่ยน จึงต้องทำให้เหล่าฮีฌร่ต้องออกปฏิบัติการไปหยุดยั้งเหล่าเอเลี่ยน แต่พวกเขากลับโดนจับตัวไว้ได้ ซึ่งในนั้นมี มาร์คัส พ่อของ มิซซี่ สาวน้อยซึ่งไร้พลังวิเศษ ได้มาอยู่กับเหล่าลูกของซุปเปอร์ฮีโร่ในฐานลับของฮีโร่อิกส์ พวกเด็ก ๆ จึงต้องหาวิธีทางที่จะช่วยเหลือพ่อแม่ของตนจากเอเลี่ยนให้ได้

เหล่าลูก ๆ ของยอดมนุษย์มีพลังวิเศษ

เรื่องราวในช่วงแรกอาจจะทำให้หลาย ๆ คนอาจเลิกดูก็เป็นได้ เมื่อการใส่ซีจีสู้กับสัตว์ประหลาดในช่วงแรกนั้นมันช่างแย่เหลือเกิน พร้อมด้วยชุดเห่ย ๆ ที่ทำล้อเลียนซุปเปอร์แมน ทำให้ตอนแรกนั้นมีอคติไปบ้าง แต่เมื่อพอดูไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าเรื่องนี้มีความน่าสนใจมากกว่าที่คิด นี้มันคือหนังสำหรับ Geek ซุปเปอร์ฮีโร่เลยก็ว่าได้ การทำฮีโร่ต่าง ๆ แทบจะยกมาจากตัวละคร DC comics เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะมี มิราเคิลแมนที่ล้อเลียนซุปเปอร์แมน, สโลโมที่ล้อเลียนแฟรช  นู้ดเดิ้ลล้อเลียนมนุษย์ยางยืด นอกจากนี้ยังมี ฟาสฟอร์เวิดและรีไวล์ไทม์ ที่ยังสามารถย้อนอดีตและเร่งเวลาได้เหมือนวิดีโอเพลเยอร์ ทำให้เมื่อดูไปเรื่อย ๆ พลังส่วนใหญ่ก็จะออกแนวเวอร์ ๆ ทั้งนั้น เวลาดูเลยสนุกที่เด็กเหล่านี้ชอบเอาพลังเหล่านี้มาทำอะไรแปลก ๆ อยู่เสมอ พร้อมประโยคแซะหนังฮีโร่เก่า ๆ ที่ทำให้คนดูต้องฮา แต่พอหนังเล่าถึงกลางเรื่อง หลาย ๆ อย่างภายในเรื่องก็เริ่มที่จะสนุกน้อยลง ฉากแอ็กชั่นที่ทำออกมาค่อนข้างแย่ การเตะต่อยที่ไม่มีอิมแพ็ค ความไม่สมเหตุสมผลมาเต็มไปหมด ส่งผลให้อารมณ์ร่วมหายไปมีแต่ชงมุกไปเรื่อย จนกระทั่งถึงปลายเรื่องที่จะมีหลาย ๆ อย่างที่สนุกถาโถมเข้ามาไม่หยุด ความสนุกอยู่ที่บทสนทนา และการเล่าเรื่องของท้าย ๆ บท ที่ชงมุกออกมาได้ดี และยังเก็บรายละเอียดของเรื่องเฉลยออกมาได้โอเค บทสรุปโอเค ไม่ย้อนแย้งกับตัวเรื่องซักเท่าไหร่

ภาพเปรียบเทียบ Shark boy และ Lava girl ในปี 2005 และ 2020

ถ้าใครติดตามนักแสดงเก่า ๆ จาก The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D อาจจะต้องผิดหวังกันได้ เพราะบทเด่น ๆ ของพวกเขานั้นแทบจะไม่มีเลย การโชว์พลังเหมือนกับการมาโชว์ความอ่อนซะมากกว่า คนที่จะมาดูเรื่องนี้เพื่ออยากเห็นพัฒนาการของพวกเขานั้น อาจจะต้องทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะนี้เป็นหนังโฟกัสไปที่ลูก ๆ ของเหล่าฮีโร่เพียงอย่างเดียวเลย การมาของคนรุ่นใหม่จะมาแทนที่คนยุคเก่า

การแสดงของเหล่าเด็ก ๆ ยังคงมีปัญหาอยู่ที่การแสดงของพวกเขายังไม่สามารถดึงดูดผู้ชมให้สามารถอินไปกับเนื้อเรื่องได้ ซึ่งมันช่างน่าเสียดายมาก ที่นักแสดงจาก Spy kids แสดงออกมาได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้หรือการพูดคุย ยังคงยกให้  The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D ยังดีกว่าเรื่องนี้

We Can BE Heroes เป็นผลงาน Robert Anthony Rodriguez โปรดิวเซอร์จาก Spy kids ทั้งสี่ภาค และผู้กำกับ The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D จึงไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีกลิ่นอายของหนังซุปเปอร์ฮีโร่เด็กมากขนาดนี้ นี้เป็นการนำผลงานเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มาปัดฝุ่นใหม่อีกทีให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมด้วยการล้อเลียนประเด็นของเหล่าฮีโร่ที่หลาย ๆ คนสงสัย ทำให้หนังเรื่องนี้มีสีสันมากขึ้น จึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ถ้าใครเป็นแฟน ๆ ของเหล่าฮีโร่อาจจะชอบมุกที่หยอกล้อและความบันเทิงที่เรื่องนี้นำเสนออย่างแน่นอน

เสียงพากย์/บรรยาย: เสียง อังกฤษ/ไทย  บรรยายไทย

ระยะเวลา 1 ชม. 45 นาที

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!