playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Truth Be Told ตามล่าฆาตกรผ่าน Podcast (อัพเดทครบจบ 8 ตอน)

สรุป

หนังสืบสวนตามล่าหาฆาตกรตัวจริง ผ่านเรื่องราวการใช้ Podcast สมัยใหม่มาช่วยทำให้สังคมกระจ่างกับคดีที่ความยุติธรรมในระบบทำงานผิดพลาด หนังเดินเรื่องราวช่วงแรกเฉื่อยๆ ก่อนจะถึงไคลแม็กซ์ตอน 5 แล้วก็จุดไฟติดเร่งเครื่องตอนหลัง จนกลายเป็นซีรีส์สืบสวนที่มีซ่อนตัวฆาตกรไว้หลายชั้นเกินคาดเดา แถมยังต่อด้วยบทสรุปจบเรื่องราวที่เหมือนไร้ทางออกได้อย่างสวยงาม จัดเป็นซีรีส์สืบสวนน้ำดีที่มีแนวทางการเล่าเรื่องและชั้นเชิงแปลกใหม่ไม่เหมือนเรื่องไหน ควรค่าแก่การดูครับ

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
4 (1 vote)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • โลกสุดเถื่อนในคุกกับการแสดงของ Aaron Paul
  • คดีมีความน่าสนใจยิ่งสาวลึกยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ
  • มีจุดหักมุมซ่อนฆาตกรไว้หลายชั้น
  • การสืบสวนของคนธรรมดาที่นำมาใช้ทำ Podcast ได้อย่างน่าสนใจ

Cons

  • ใช้ดาราดัง Octavia Spencer ไปกับบทที่ยังไม่มีอะไรให้ปล่อยของได้มากพอ
  • หนังมีช่วงปัญหาครอบครัวส่วนตัวนางเอกเยอะจนกินเวลามากไป
  • ช่วงเล่า Podcast ไม่ได้รู้สึกว่ามีพลังมากพอ

รีวิว Truth Be Told (Apple TV+) เรื่องราวของ “Poppy” สาวผิวดำเจ้าของ Podcast บอกเล่าคดีอาชญากรรมอันโด่งดัง ที่มีชื่อเสียงมาจากคดีฆาตกรรมเด็กหนุ่มวัยรุ่นผิวขาว 16 ปี ฆ่าพ่อของลูกสาวฝาแฝดเพื่อนบ้านที่สนิทกัน ซึ่งจากผลงานของเธอมีอิทธิพลโน้มน้าวผู้คนจนทำให้เชื่อว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นอาชญากรอันตรายเหมือนปีศาจ ทำให้เขาต้องรับโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่แล้ว 19 ปีผ่านไปหลักฐานใหม่ปรากฎมีแนวโน้มว่าเขาอาจจะเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดีนี้ จึงทำให้เธอต้องหันกลับมาชำระบาปของตัวเอง และทำความจริงให้ปรากฎให้ได้

 Truth Be Told (2019) on IMDb
คะแนน IMDB

ตัวอย่างซีรีส์ Truth Be Told (Apple TV+)

นี่เป็นหนังสืบสวนที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Podcast เข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเป็นการจัดรายการวิทยุออนไลน์แต่ผ่านการอัพโหลดไฟล์ให้คนอ่านดาวน์โหลดไปฟัง ตัวเอกเจ้าของ Podcast ในเรื่องนี้คือสาวผิวดำ Poppy ที่เล่นโดยดาราดังอย่าง Octavia Spencer ดีกรีระดับออสการ์และรางวัลอีกมายมาย ซึ่งเธอต้องตามสืบคดีที่เคยสร้างเชื่อเสียงให้เธอ แต่มาในวันนี้เรื่องราวกลับค่อยๆ เปิดเผยความจริงว่าสิ่งที่เธอคิดปักใจเชื่อเมื่อ 19 ปีก่อนอาจจะเป็นความผิดพลาดที่ต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งเธอมีจุดยืนอยู่ข้างความจริง ตามชื่อเรื่อง “Truth Be Told”  เชื่อว่าตราบใดที่รายงานตามความจริง สิ่งนั้นจะปกป้องอาชีพของเธอเอง

หนังเล่นกับการที่เธอเชื่อความจริงจากการขุดคุ้ยของตัวเอง และก็จัดรายการผ่าน Podcast โดยเชื่อว่าความจริงที่เธอบอกเล่าออกไปเป็นสิ่งที่ไม่ผิด ซึ่ง Podcast ของเธอมีอิทธิพลโน้วน้าวใจผู้ฟังในสังคมเป็นอย่างมาก ทำให้เรื่องราวที่เธอเล่ามีพลังจนทำให้สังคมพลิกกลับมาเชื่อเธอ โดยหวังช่วยเด็กหนุ่มที่ถูกจำคุกตลอดชีวิตได้มีโอกาสรื้อฟื้นคดีใหม่อีกครั้ง ซึ่งผลจากการกระทำของเธอกลายเป็นความปั่นป่วนของคนที่เกี่ยวข้องกับคดีในอดีตที่ร่วมกันให้การว่าเด็กหนุ่มคนนี้  Warren Cave เป็นฆาตกรตัวจริงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่เรื่องราวไม่ง่ายเพราะเด็กหนุ่มซื่อๆ มีอนาคตในอดีตได้กลายเป็นคนละคนจากโลกดิบเถื่อนในคุก เขากลายเป็นพวกบูชาลัทธินาซี เหยียดผิว ซึ่งบทบาทการแสดงนี้เล่นโดย Aaron Paul นักแสดงยอดฝีมือจากซีรีส์ Breaking Bad และนี่ก็เป็นอีกบทบาทหนึ่งที่เขาเล่นได้ถึงลูกถึงคนเถื่อนจริง จนกลายเป็นจุดเด่นที่สุดของเรื่องนี้ตั้งแต่ฉากแรกที่ออกมา กับผู้บริสุทธิ์ที่ถูกกฎหมายตีตราบาปให้เขาหมดอนาคตไปทั้งชีวิต จนกลายเป็นคนเลวหยาบช้าไปจริงๆ ซึ่งทั้งบทและการแสดงของ Aaron Paul คือผู้แบกซีรีส์เรือ่งนี้ให้น่าติดตามทุกตอนอย่างแท้จริง

หนังฉายภาพให้เห็นชีวิตในคุกของเขาว่าทำไมจากคนดีๆ กลายมาเป็นคนเลวได้ พร้อมกับการไม่เชื่อใจ Poppy ว่าจะมาหาประโยชน์จากเขาเพื่อไปเสริมความดังของตัวเองอีกหรือเปล่า ซึ่งทำให้เขาไม่ให้ความร่วมมือที่ดีนัก และก็เหยียดผิวของ Poppy ซ้ำเข้าไปอีกจนเธอทนไม่ได้ ซึ่งแม่ของเขาให้เหตุผลว่า

“คนเรามีปีศาจอยู่ในตัวกันทุกคน และปีศาจของเขาถูกปล่อยออกมาตอนอยู่ในคุก”

ซึ่งคำกล่าวนี้นอกจากจะบอกเล่าถึงลูกของเธอแล้ว แต่ยังมีนัยยะถึงตัวละครอื่นในเรื่องอีกด้วย หนังพาเราไปดูโลกของวอร์เรนในคุกที่ไม่เถื่อนไม่มีทางรอด พร้อมกับให้เห็นตัวตนบริสุทธิ์อีกด้านที่ยังหลงเหลือในตัวเขาผ่านความรู้สึกดีๆ กับแม่ที่เป็นมะเร็งใกล้ตาย รวมถึงโครงการฝึกเลี้ยงดูแลสุนัขส่วนตัวของนักโทษ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขามีความสุขที่สุดในคุกแห่งนี้

หนังเดินเรื่องในส่วนนี้ได้อย่างน่าสนใจมากๆ ซึ่งนอกจากเขาจะเป็นผู้กุมความลับของเรื่องที่หมิ่นเหม่ว่าเขาเกี่ยวข้องกับคดีฆาตกรรมจริงแค่ไหน เพราะแม้แต่พ่อแท้ๆ ก็ยังให้การปรักปรำว่าเขาผิดจริง นั่นทำให้เรื่องราวดูซับซ้อนมากยิ่งขึ้นเมื่อทุกคนในอดีตที่ให้การถึงเขามีความลับบางอย่างแฝงกันอยู่ทุกคน และก็ไม่ยอมให้ Poppy กลับมารื้อฟื้นเรื่องราวใดๆ อีกต่อไป

ซีรีส์เรื่องนี้วางตัวเป็นแนวทริลเลอร์สืบสวนที่บอกเล่าเรื่องผ่านโลกสมัยใหม่กับอิทธิพลของ Podcast ที่คนนิยมฟังกันอย่างแพร่หลายในอเมริกา หนังเผยให้เห็นเรื่องราวการทำงานของมืออาชีพ Podcast ว่าเบื้องหลังต้องเนี๊ยบขนาดไหนถึงจะสำเร็จออกมาเป็นไฟล์ให้ฟังกันได้ ซึ่งนอกจากจะเป็นเธอที่บอกเล่าเรื่องราวเองแล้ว ยังต้องไล่ล่าหาทางสัมภาษณ์ให้ได้ข้อเท็จจริงก่อนมานำเสนอในแต่ละตอน ซึ่งจริงจังขนาดจ้างนักสืบช่วยไขคดีนี้กันเลยทีเดียว

แต่น่าเสียดายที่หนังทำช่วง Podcast ในแต่ละตอนออกมาสั้นๆ แล้วก็ไม่ได้เน้นไปที่ฟีดแบ็คผู้ฟังในสังคมให้เห็นมากนัก ทั้งๆ ที่เรื่องราวช่วงกลางเรื่องไปตัวละครบางตัวถึงกับหายนะจากดราม่า Podcast ของเธอ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้กลับไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงแรงกดดันในสังคมลงมาสู่ตัวละครมากนัก ทั้งๆ ที่เป็นจุดขายของซีรีส์สืบสวนในเรื่องนี้ที่แตกต่างจากทั่วไป ที่โดยปกติเป็นตำรวจ นักสืบ นักข่าว แต่นี่เป็นคนธรรมดาที่มีเครื่องมือสื่อยุคใหม่เป็นพลังในมือแบบง่ายๆ ใช้สังคมกดดันให้เกิดความยุติธรรมแบบได้ผลหนักหน่วงกว่ากฎหมาย

ซีรีส์เรื่องนี้มี 10 ตอนจบ ตอนละ 40 กว่านาที จากตอนที่รีวิวนี้คือเรื่องราวดำเนินไปถึงตอนที่ 5 ซึ่งก็มาครึ่งทาง และซีรีส์ได้แบ่งเรื่องราวที่ดูเหมือนพาร์ทแรกจบลงที่ตรงนี้พอดี ซึ่งก็เป็นจุดพีคของเรื่องราวที่ปูมาทั้งหมดในตอนแรก ที่ออกจะเฉื่อยๆ ไม่ค่อยมีพลังอะไรสักเท่าไหร่ เพราะนอกจาก Podcast ของ Poppy จะดูเบาๆ ไม่ค่อยนำเสนออิมแพ็คในสังคม เรื่องราวยังพยายามใช้เวลาไปกับครอบครัวพี่น้องของเธอ ซึ่งดูแล้วเป็นเหมือนแค่พาร์ทเสริมที่อาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับคดีนัก ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ดูจะขาดพลังหลักในการทำให้คนติดตามได้ยกเว้นเรื่องราวของวอร์เรนในคุก ที่บทในส่วนนี้ดีมาก มีความซับซ้อนในจิตใจสูง ซึ่งการแสดงของ Aaron Paul ช่วยกระดับไปอีกขั้น จนช่วยทำให้ซีรีส์เรื่องนี้ยังพอมีของดีอยู่ในทุกตอน พอที่จะน่าติดตามดูได้ครับ


รีวิวอัพเดทจบครบ 8 ตอน

หลังจากตอน 5 ที่มีไคลแม็กซ์สูงสุดของเรื่องไป ซีรีส์เรื่องนี้เหมือนติดไฟจากที่เฉื่อยๆ ในช่วงแรก (ยกเว้นเรื่องในคุก) หนังไต่ระดับความพีคของเรื่องการสืบคดีด้านนอกของ Poppy ที่สาวลึกใกล้ถึงเรื่องราวความจริง แล้วใช้ Podcast กดดันจนฆาตกรต้องกลับมาฆ่าคนอีกครั้ง แข่งกับเวลาในคุกของวอร์เรนที่ใกล้จะหมดลง เรื่องราวใน 3 ตอนหลังกลายมาเป็นหนังสืบสวนฆาตกรรมที่น่าติดตามมาก จากบทที่พลิกไปพลิกมาเหมือนจะเดาได้ แต่รับรองว่าเดายังไงก็ผิดคาดเพราะหนังซ้อนทับเรื่องราวไว้หลายชั้นกับฆาตกรตัวจริงในคดีนี้ แบบที่ว้าวแล้วว้าวอีกรอบได้เลย

แต่ด้วยความที่หนังหักมุมซ้อนกันหลายชั้นไปหน่อย ตอนคลายปมเรื่องราวให้ลงสวยๆ กับทุกตัวละครเลยทำได้ยาก ก่อนจบเรื่องหนังได้ตั้งคำถามให้กับ Poppy และกับคนดูด้วยว่า ถ้าเลือกยืนอยู่ข้างความจริงเป็นสิ่งยุติธรรม แต่ถ้าความยุติธรรมกับความจริงสวนทางกัน เราจะเลือกได้ยังไงว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด? ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ยากกับตอนจบเรื่องนี้ เมื่อทุกอย่างอยู่คนละเส้นทางไปหมด แต่หนังก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องค้างคาไว้ แต่เลือกทางจบในแบบที่เกือบดีที่สุดกับเรื่องนี้ ซึ่งคนดูก็ต้องมีติดใจกับบางอย่าง แต่ก็คงเข้าใจว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะจบลงตัวได้ทุกเส้นทาง

ในส่วนดราม่าที่ตอนแรกดูยัดมาเยอะ ช่วงหลังหนังหดหายไปเหลือแซมมานิดๆ พอดีกับเรื่อง ซึ่งพอไม่ได้ยัดมาเยอะ ทำให้เรื่องราวเดินหน้าไปทางสืบสวนได้เต็มๆ แล้วก็ค่อยกลับมาให้เวลาเคลียร์ปมดราม่าชีวิตของ Poppy ไว้ในตอนจบ ซึ่งก็ลงตัวพอเหมาะสมกับเรื่องราวครับ


 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!