playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Lovestruck in the City ซีรีส์รักเกาหลีแนวสารคดีที่ดูแปลกใหม่ แต่เรื่องรักกลับไม่ได้แตกต่างไปจากเดิม (อัพเดทจบ)

Lovestruck in the City

สรุป

ซีรีส์รักโรแมนติกจากผู้กำกับ It’s Okay to Not Be Okay ในแง่ความแปลกใหม่ถือว่าได้ เรื่องเล่าด้วยภาพสไตล์ย้อมสีวินเทจที่ดูละมุนอบอวลไปด้วยความรักแบบคลาสสิค กับการจำลองเรื่องเป็นสารคดีสัมภาษณ์คู่รักหลายคู่ แต่เรื่องราวความรักในเรื่องก็ยังคงเป็นสูตรเดิมๆ จนน่าผิดหวังกับความพยายามฉีกแนวเล่าเรื่องให้สมจริงตามที่ควรจะเป็น แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องความสมจริงก็ถือว่าดูเพลินๆ ได้เพราะแต่ละตอนสั้นแค่ 20-30 นาทีจบ

 

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • การเล่าเรื่องแบบจำลองฉากสัมภาษณ์คู่รักในหัวข้อต่างๆ (เป็นแนวสารคดีเทียม)
  • ภาพใช้โทนวินเทจดูเก่าสวยละมุน แต่จริงๆ คือยังอยู่ในช่วงปีปัจจุบัน 2019-2020
  • นางเอกกับอีกคนเป็นพวกรักสนุกชั่วข้ามคืนวันไนท์สแตนด์ ตรงข้ามกับผู้ชายที่พยายามจริงจังกับความรัก
  • ตอนสั้นๆ แค่ 20-30 นาทีจบ

Cons

  • การเล่าเรื่องแบบสารคดีเทียมสมมุติให้เหมือนจริง แต่กลับไม่ค่อยสนใจจะทำให้สมจริงจนดูขัดแย้งกันเอง
  • การเล่าเรื่องที่พยายามทำแบบอินดี้ให้หลายตัวละครพูดแทรกกันไปมาจนแอบน่ารำคาญ
  • เรื่องขึ้นต้นดูแรงๆ จากฝ่ายผู้หญิง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้น
  • ความรักในเรื่องขึ้นต้นมาด้วยแนวเรียลๆ สมัยใหม่ แต่พอเรื่องดำเนินไปสักพักกลับกลายเป็นแนวเรื่องแต่งเหมือนนิยายมากกว่าจะดูเป็นจริงแบบตอนแรก

 

Lovestruck in the City Netflix เมื่อสาวรักอิสระคนหนึ่งขโมยหัวใจเขาไปหลังความรักก่อตัวขึ้นที่ริมหาด สถาปนิกหนุ่มไฟแรงจึงหวังว่าจะได้พบเธออีกครั้งในกรุงโซล

 Lovestruck in the City (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Lovestruck in the City ความรักในเมืองใหญ่

ซีรีส์มีความน่าสนใจจากตัวผู้กำกับ Park Shin-Woo ที่มีผลงานชิ้นเยี่ยมแห่งปี 2019 It’s Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน ซึ่งความดีงามของเรื่องคือความแปลกใหม่ในแนวทางหนังรักโรแมนติก และก็สำรวจเรื่องราวของผู้ป่วยจิตเวชหลากหลายแบบที่ออกมาเป็นดราม่าซึ้งๆ อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ ผลงานในเรื่องใหม่นี้เองจึงถูกคาดหวังว่าจะไม่แพ้กัน ซึ่งก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าจาก 6 ตอนที่ได้รับชมในเวลานี้ ซีรีส์ยังห่างชั้นในหลายๆ ด้านกับผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับคนนี้มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้กำกับคนนี้มีสไตล์ที่แตกต่างในการเล่าเรื่องรักแนวนิยมเกาหลีต่างจากทั่วไปมาก และสไตล์ที่แตกต่างนั้นก็ถูกนำมาเป็นจุดขายของซีรีส์ใหม่เรื่องนี้โดยตรง

เนื้อเรื่องสั้นๆ เมื่อสาวรักอิสระคนหนึ่งขโมยหัวใจเขาไปหลังความรักก่อตัวขึ้นที่ริมหาด สถาปนิกหนุ่มไฟแรงจึงหวังว่าจะได้พบเธออีกครั้งในกรุงโซล ซึ่งก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูแปลกแตกต่างคือ การเล่าเรื่องแบบ สารคดีจำลอง Mockumentary หรือสารคดีปลอม ด้วยการเปิดเรื่องให้ตัวละครหลักพระเอก “พัคแจวอน” รับบทโดย Ji Chang-Wook กับนางเอก “ยุนซอนอา” รับบทโดย Kim Ji-Won ต้องถูกสัมภาษณ์จากคนทำสารคดีในหัวข้อสำรวจชีวิตรักของหนุ่มสาวในกรุงโซล โดยเป็นสารคดีแบบตามติดถ่ายชีวิตทั้งคู่ไปเรื่อยๆ ในหัวข้อความรักต่างๆ กันไปในแต่ละตอน อย่าง ครั้งแรกของทั้งคู่รู้สึกยังไง เวลาเลิกกันทำยังไงกับสิ่งของที่เป็นความทรงจำร่วมกัน ซึ่งตัวเรื่องก็จะย้อนอดีตกลับไปถึงเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นของทั้งคู่ในปี 2019 ที่ห่างจากการสัมภาษณ์ในปัจจุบันไม่นาน แต่เปลี่ยนโทนภาพให้เป็นแนววินเทจคลาสสิคแบบหนังฟิล์มเก่าๆ จนเหมือนอยู่ในยุค 90 มากกว่าปัจจุบัน และตัวพระเอกเองก็มีงานอดิเรกใช้แต่ของโบราณหน่อยอย่างกล้องฟิล์ม โพลารอยด์ จักรยานวินเทจ จนชวนให้คิดว่าเรื่องเล่าในอดีตนี้เหมือนอยู่ในยุค 90 มากกว่าปัจจุบัน และก็เล่าเรื่องตามลำดับการพบเจอกันของทั้งคู่จนถึงปัจจุบันที่แยกทางกันแล้วในมุมมองที่ต่างกัน

ความแปลกยังไม่จบแค่นี้ ตัวเรื่องไม่ได้สัมภาษณ์แค่คนสองคน แต่สัมภาษณ์ 50 คน โดยเจาะโฟกัสเลือกมาเล่าในเรื่องหลักๆ 6 คน ชาย 3 หญิง 3 ซึ่งพระเอกนางเอกที่กล่าวไปคือคู่หลักของเรื่อง และมีคู่อื่นประกอบเสริมแทรกเข้ามาในหัวข้อคำถามความรัก โดยความพิเศษของสารคดีนี้คือจะตัดต่อส่งคำตอบให้คนอื่นๆ ดูด้วยในแต่ละคำถาม พร้อมทั้งเปิดเผยว่าใครเป็นคนพูดตอบด้วยชัดเจน ซึ่งเรื่องก็จะตัดเอาความเห็นของคนอื่นแทรกสลับมาในเรื่องเล่าของพระเอกที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรักของเขา เขาทำอะไรผิดไปถึงถูกนางเอกทิ้ง ซึ่งพระเอกก็ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ไปพร้อมกับฟีดแบ็คของทุกคนตอบกลับตอนเล่าเรื่องนี้ไปพร้อมกัน

จะเห็นว่าวิธีการเล่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกมาก จนทำให้งงๆ กับการดูสารคดีปลอมๆ ที่ไม่เหมือนปลอมจริงๆ เพราะแค่เซ็ทเรื่องการถูกสัมภาษณ์ไว้หลอกๆ เท่านั้น ต่างกับหนังสารคดีปลอมจริงๆ ที่พยายามทำให้เหมือนจริง เพียงแต่เรื่องมันจะโอเว่อร์จนทำให้ผู้ชมรู้เองว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง (ตัวอย่างซีรีส์สารคดีปลอมดังๆ ใน Netflix คือ American Vandal ที่จำลองการสืบสวนคดีบ้อบอในโรงเรียนไฮสคูล) ซึ่งถ้าตัดการเล่าเรื่องแบบนี้ออกไป ก็จะเห็นว่าตัวซีรีส์คือหนังรักปกติดีๆ นี่เองแหละ และก็เน้นเล่าเรื่องคู่พระเอกนางเอกเป็นหลักในทุกตอน 90% มากกว่าของคนอื่นที่มีแทรกมาเป็นน้ำจิ้มแค่นั้น  แม้ว่าเรื่องจะมีคู่เมนหลักแน่นอนและคนอื่นเป็นบทสมทบ ดูเหมือนแยกขาดจากกัน แต่จริงๆ คือตัวละครทั้งหมดมีความเกี่ยวพันถึงกันบางคน และก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคู่เมนหลัก ซึ่งตัวเรื่องค่อยๆ เผยออกมาภายหลัง (ตอนสุดท้ายมีเพิ่มมาอีกคู่เป็นน้ำจิ้ม)

ความรักในเรื่องพยายามสร้างให้ดูทันสมัยกับบทนางเอกรักสนุกแบบวันไนท์สแตนกับพระเอกคืนเดียว ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นกันง่ายๆ ในซีรีส์หนังรักเกาหลี แต่นอกจากนั้นแล้วเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้ ซึ่งจากที่ขึ้นต้นด้วยนางเอกรักสนุกกับตัวละครครูพละสาวสวยที่ไม่เคยขาดผู้ชาย ส่วนตัวนึกว่าเรื่องจะทำออกมาทันสมัยแรงๆ มากกว่านี้ได้อีก แต่พอหลุดจากช่วงแรกไปเรื่องก็กลายมาเป็นแนวสูตรรักแบบเดิมๆ ทั่วไป คู่รักในเรื่องยังคงวางพล็อตแนวพหรมลิขิต ความบังเอิญ หรือการรักมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง จนดูกลายเป็นความรักแบบในนิยายมากกว่าจะเป็นแนวเรียลจริงจังตามที่ชื่อเรื่องและธีมการเล่าแบบสารคดีที่ชวนให้คิดแบบนั้น ในส่วนนี้ก็เลยกลายเป็นน่าผิดหวังไปโดยปริยาย

ซีรีส์เรื่องนี้ฉายวันอังคารกับศุกร์หลัง 1 ทุ่มเป็นต้นไป ตอนละ 20-30 นาทีจบ มีทั้งหมด 16 ตอนตามปกติ 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!