playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิวมินิซีรีส์ Someone Has to Die (Netflix) ปมรักซับซ้อน ซ่อนเงื่อนโศกนาฏกรรม (ไม่สปอยล์)

Someone Has to Die

สรุป

ซีรีส์ที่เขียนบทได้ดีมาก มีความซับซ้อนผูกพันกันของตัวละครทุกตัวได้อย่างลงตัวเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ เดินเรื่องไวลื่นไหลต่อเนื่องไปจนจบ แต่เสียที่ตัดจบแบบห้วนๆ มากเกินไปเท่านั้น

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (3 votes)

Pros

  • เรื่องราวความโหดร้ายทารุณกับเกย์ในยุคอดีตของสเปน
  • ตัวละครทุกตัวมีเรื่องราวสำคัญทุกคน
  • เน้นเรื่องความรักผสมอีโรติกได้อย่างลงตัว
  • ผูกปมอาชญากรรมในอดีตมาเข้ากับเรื่องราวได้ดี
  • กีฬายิงนกพิราบบินเป็นๆ ที่สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องนี้ได้ดี
  • ได้คลาร่านักแสดงขวัญใจคนดูจากซีรีส์ Elite มาเล่น
  • เป็นมินิซีรีส์มีแค่ 3 ตอนจบสั้นๆ

Cons

  • ตัดจบห้วนมากเกินไป
  • ฉากอีโรติกมีน้อยไปสักหน่อยจากความคาดหวังทั้งตัวเรื่องและดาราที่เล่นในบทแบบนี้มาก่อน

 

 

 

Someone Has to Die (ชื่อต้นฉบับ Alguien tiene que morir) ซีรีส์แนวดราม่ากึ่งอีโรติกจากสเปนร่วมกับเม็กซิโก ย้อนยุคไปยังช่วงปี 1950 ที่สังคมโหดร้ายทารุณกับคนที่แตกต่างจากเพศสภาพปกติได้อย่างน่าตกใจ ภายใต้เรื่องราวความรักซ้อนหลายเส้าผสมรวมเข้ากับอาชญากรรมในอดีตที่ถูกปกปิดไว้ภายในครอบครัว

 Someone Has to Die (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Someone Has to Die

มีสปอยล์เนื้อบางส่วนนิดหน่อย แต่ไม่ใช่จุดหักเหสำคัญของเรื่อง

มินิซีรีส์ 3 ตอนจบจาก Manolo Caro ผู้สร้างซีรีส์ตลกร้ายสุดอื้อฉาวด้วยตัวละครเบี่ยงเบนทางเพศอย่าง The House of Flowers (บ้านดอกไม้) ของ Netflix ซึ่งงานใหม่ชิ้นนี้ของเขาก็ยังมาในรูปแบบเดิม แต่เปลี่ยนเรื่องราวให้แรงกว่าเดิม หดหู่ สะเทือนใจไปกับเรื่องราวของความรักต้องห้าม ย้อนยุคไปช่วงปี 1950 ของสเปน ที่มีกฎหมายลงโทษรุนแรงไว้จัดการกับคนที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศในสังคม

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มรูปหล่ออย่าง Gabino กลับจากเม็กซิโกมาบ้านเกิดที่ห่างหายไป 10 ปี เนื่องจากถูกส่งไปเรียนต่างประเทศ และก็พาเพื่อนชาย Lázaro นักเรียนเต้นบัลเล่ต์กลับมาด้วย การกลับมาครั้งนี้ครอบครัวคาดหวังให้เขาแต่งงานกับ Cayetana สาววัยรุ่นทรงเสน่ห์ น้องเพื่อนเก่า Alonso ผู้ซึ่งไม่ยินดีกับการกลับมาครั้งนี้สักเท่าไหร่ และเรื่องราวก็ค่อยๆ เลวร้ายลงเมื่อความลับของทุกคนที่ซุกซ่อนอยู่ค่อยๆ เปิดเผยออกมา

ตัวเอกของเรื่องรับบทโดย Alejandro Speitzer จากซีรีส์สุดฉาวของ Netflix Dark Desire ปราถนาในเงามืด ในบท “ดาริโอ้” สุดแซ่บที่คนดูมาก็น่าจะยอมรับเลยว่าทั้งรูปร่างหน้าตาน้ำเสียงของเขาเหมาะกับบทแนวๆ เจ้าเล่ห์ทรงเสน่ห์แบบนี้มาก แต่มาในเรื่องนี้เป็นอะไรที่ตรงข้ามกับบทในเรื่องนั้นคนละด้าน จากผู้กระทำกลายมาเป็นผู้ถูกกระทำและอ่อนแอมากๆ ด้วยบทหนุ่มเกย์ที่พยายามซ่อนสิ่งนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ และแอบหลงรักเพื่อนสนิทที่พากลับมาบ้านด้วยกัน ซึ่งจากจุดเริ่มความลับนี้เองที่ค่อยๆ พาให้เรื่องนี้ยุ่งเหยิงพัวพันมากขึ้นเรื่องเมื่อเขาถูกบังคับและไม่อยากแต่ง แม้ Cayetana จะสวยเอามากๆ ซึ่งเป็นจุดขายของเรื่องอีกคนโดยได้ Ester Expósito จากบทคลาร่านักเรียนสาวไฮโซสุดแซ่บในซีรีส์ Elite ซึ่งในเรื่องนี้ก็ยังคงคาแรกเตอร์แนวเดิมไว้ไม่เปลี่ยน กับบทสาววัยรุ่นไฮโซที่อยากได้อะไรต้องได้ และหาทางทำทุกวิถีทางให้ได้มา และสิ่งที่เธออยากได้ในเรื่องนี้ก็คือความปราถนาในตัวผู้ชายที่เธอหมายตาไว้ ซึ่งก็กลายเป็นเรื่องรักหลายเส้าตามมา และรุนแรงมากยิ่งขึ้นเมื่อบทผูกให้ไม่ใช่แค่รุ่นลูกที่มาเกี่ยวข้อง แต่ตัวพ่อแม่ของ Gabino ก็มีปัญหาชีวิตคู่และ SEX ที่ถูกกระทำแบบไม่ยินยอม จนมาเจอกับหนุ่มรู่นลูกอย่าง Lázaro ที่แอบทำให้เธอพึงพอใจ จนเริ่มถลำลึกมากขึ้นเรื่อยๆ ( Isaac Hernández นักแสดงที่เล่นบทหนุ่มรุ่นลูกนี้เล่นเรื่องนี้ครั้งแรกด้วย แต่เล่นได้มีเสน่ห์สุดๆ)

ตัวซีรีส์วางตัวเป็นแนวดราม่ากึ่งอีโรติกที่มีเรื่องความปราถนาในตัวอีกฝ่ายมาเป็นแรงขับเคลื่อนทุกตัวละครในเรื่องให้เกี่ยวพันกันทางใดทางหนึ่ง ซึ่งบทถูกเขียนให้ออกมาพัวพันปลุกเร้าอารมณ์ลึกๆ ได้ดีมาก ทั้งในเรื่องความรักวัยรุ่นตามปกติ ความรักของเกย์ ความรักต่างรุ่น ทุกอย่างกลายเป็นจุดสำคัญของเรื่องที่ซ่อนเร้นไว้แล้วรอระเบิดความรู้สึกออกมาเป็นจุดพลิกไปมาของเรื่องราวอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าตลอดเวลาที่ดูเดาไม่ออกเลยว่าใครจะลงเอยกับใครยังไง ในเมื่อแต่ละคนรักข้างเดียว โดยที่อีกฝ่ายก็ไปรักคนอื่นเป็นทอดๆ และยังมีเรื่องของยุคสมัยที่แค่เพศสภาพไม่ตรงก็ถูกจับขังคุกลืม และโดนทรมานให้คายชื่อคนอื่นๆ มาอีก เหมือนเป็นความผิดหนักหนาสาหัสจนแทบไม่น่าเชื่อว่าสเปนมีกฎหมายที่ย่ำยีมนุษย์ด้วยกันแบบนี้ออกมาได้อย่าง ซึ่งตัวเรื่องถ่ายทอดความโหดร้ายและการตกอยู่ในสภาพสังคมที่กดขี่เรื่องพวกนี้จนถึงขีดสุดได้หนักหน่วงมาก แม้แต่คนที่เป็นเกย์เองก็ยังต้องกลายเป็นคนโหดร้ายทารุณกับคนอื่นเพื่อพยายามปิดบังสถานะแบบนี้ของตัวเองได้อย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งสังคมในเรื่องที่ถ่ายทอดมาถือว่าวิปริตทางความคิดมาก ไม่ต่างอะไรกับนาซีที่เข่นฆ่ายิวเลยแม้แต่น้อย (เรื่องนี้อยู่ในช่วงยุคสงครามเกี่ยวพันกันด้วย)

ในเรื่องจะมีฉากเกย์ถูกซ้อมถูกทรมานหลายครั้ง

นอกจากนี้ตัวเรื่องยังเพิ่มความลึกซับซ้อนขึ้นไปอีกเมื่อครอบครัวนี้มีอดีตที่เกี่ยวพันกับการฆาตกรรมคนในครอบครัว ซึ่งตัวเอก Gabino เป็นผู้เก็บงำความลับไว้ และความลับนี้อีกก็เป็นกุญแจสำคัญในเรื่องเพื่อมาใช้ในตอนจบ ซึ่งตัวเรื่องผูกเอาบทพ่อผู้โหดร้ายกับลูกชาย คนรับใช้ที่มีปัญหาบางอย่าง ยายผู้พยายามครอบงำหลาน มาต่อบทผูกเรื่องราวซ้อนลงไปในฉากดราม่าหลักของเรื่องได้อย่างเนียนสนิท และก็ช่วยทำให้เรื่องนี้มีอะไรมากกว่าแค่เรื่องรัก อีโรติก หรือเกย์อย่างที่บอกในข้างต้น ซึ่งตัวละครทุกตัวในเรื่องมีบทสำคัญด้วยกันทั้งหมดไปจนจบ แต่อาจจะมีบางคนโดนตัดจบทิ้งในตอนจบอย่างง่ายๆ เกินไปสักหน่อยเท่านั้น

ตัวเรื่องยังมีการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ บอกเล่าความรู้สึกของตัวละครและเรื่องราวได้อย่างน่าสนใจ อย่าง กีฬายิงนกพิราบเป็นๆ ที่เป็นแบ็คกราวด์ของเรื่อง และก็นำมาใช้เป็นตัวแทนความโหดร้ายที่คนทำกับสัตว์ในยุคนั้นเพื่อความสนุก ในยุคสมัยที่คนป่าเถื่อนแบบไม่รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ผิดแบบเดียวกับที่เกย์ถูกกระทำในยุคเดียวกัน นอกจากนี้ก็ยังมีการตัดฉากเข้าแบ็คกราวมืดกับตัวละครทำท่าทางประกอบพร็อบเหมือนงานศิลป์ แทนความรู้สึกลึกๆ ที่ตัวละครนั้นกำลังประสบอยู่ ซึ่งจุดนี้อาจจะต้องอาศัยการตีความอยู่บ้าง เพราะการนำเสนอแบบติสๆ ไม่ได้บ่งบอกชัดเจนว่าคืออะไรในทันที แต่ถึงไม่เข้าใจก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับเรื่องราวที่ดูอยู่ครับ เหมือนเป็นแค่กิมมิคของเรื่องแทรกมาเท่านั้น

ตัวอย่างกิมมิคการตัดฉากของเรื่องบ่งบอกความรู้สึกลึกๆ ของตัวละครในตอนนั้น

เนื้อเรื่องเดินไวต่อเนื่องด้วยการกระทำของตัวละครผูกพันกันลื่นไหลไปดีมากจนกระทั่งตอนจบสุดท้ายของเรื่อง แต่ว่าตรงนี้แหละที่เป็นจุดด้อยหรือข้อเสียของเรื่องทันทีหลังดูจบ เพราะเรื่องถูกตัดจบทันทีแบบไม่มีฉากส่งท้ายอะไรเลย เหมือนกำลังพาคนดูขึ้นจุดสูงสุดแล้วก็ปล่อยตกลงมาตายดื้อๆ แม้จะเข้าใจได้ว่าเรื่องจบเคลียร์แล้ว แต่ด้วยสเกลของโศกนาฏกรรมปิดท้ายเรื่องมันใหญ่มาก ควรจะมีอะไรมากกว่าการตัดจบทิ้งคนดูไว้แบบนี้ครับ เรียกได้ว่าเป็นข้อเสียจังๆ ข้อเดียวของเรื่องก็ว่าได้ครับ

สำหรับคนที่ชอบแนวดราม่าโศกนาฎกรรมนี่ห้ามพลาด แต่ถ้าคาดหวังว่าจะมีฉากอีโรติกเยอะๆ ก็อาจจะผิดหวังเพราะมีน้อยไปสักหน่อย โดยเฉพาะคลาร่าจาก Elite ไม่ได้มีฉากแบบนั้นเลย (แต่เธอก็สวยเซ็กซี่ไม่เปลี่ยน) ซึ่งถ้าดูจบแล้วชอบแนวๆ นี้ก็อยากให้ลองดูเรื่อง Dark Desire ที่เล่นโดยพระเอกคนเดียวกัน และก็เป็นซีรีส์จากเม็กซิโกที่แซ่บมากๆ ไม่มีผิดหวังแน่นอนครับ

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!