playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Playlist ซีรีส์กำเนิด Spotify สุดครีเอทด้วยเรื่องเล่า 6 ตอน 6 มุมมองแบบราโชมอน!

The Playlist 

Summary

ลิมิเต็ดซีรีส์สุดครีเอทด้วย 6 มุมมอง 6 ตอนจบ กับเรื่องราวการบุกฝ่าฟันอุปสรรคโหดหินของ สปอติฟาย สตรีมมิ่งเพลงที่เปลี่ยนแนวคิดคนทั้งโลกเมื่อปี 2008 จนถึงปัจจุบัน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่สวยหรูดูดี แต่เต็มไปด้วยอารมณ์กดดัน ซีเรียส ร่วมกับปัญหา Gen คนทำงานในธุรกิจเพลงที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง แม้จะโดนไพเรทเบย์เว็บบิทเถื่อนโหมกระหน่ำจนวงการเพลงแทบเอาตัวรอดไม่รอด ตัวละครทั้งหมดออกแนวเรื่องเล่าแบบราโชมอนที่ตัวเองดูดี แต่พออีกคนเล่าก็กลายเป็นตัวร้ายในสายตาคนอื่น เป็นเรื่องเล่าแบบซ้อนทับกันไปมาสีเทาๆ ให้คนดูตัดสินเองว่าอะไรคือจริงหรือไม่จริง ทั้ง 6 ตอนให้อารมณ์กับแนวเรื่องที่ต่างกันไปหมด แต่ก็ยังสามารถเล่าเรื่องเดินหน้าได้ต่อเนื่องตั้งแต่จุดกำเนิดจนถึงอนาคตของสปอติฟายได้อย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน และถึงแม้ไม่ได้เป็นคนฟังเพลงหรือใช้สปอติฟายเองก็ยังดูสนุกไปกับเรื่องราวนี้ได้ ถ้าชอบซีรีส์นอกกระแสที่มีของดี แนะนำห้ามพลาดเลยครับ

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องจริงผสมแต่งเติมบางส่วนของประวัติสปอติฟาย
  • เรื่องราวของคน Gen ใหม่กับ Gen เก่า
  • ซีรีส์สวีเดนที่มีอารมณ์แตกต่างจากทั่วไป
  • อิงประวัติศาสตร์ช่วงไพเรทเบย์ล่มสลาย
  • มีกิมมิคเก๋ๆ ในบางตอน
  • 6 ตอน 6 เรื่องราว

 

Cons

  • ตอน 6 เป็นเรื่องแต่งในอนาคตที่ดูไม่เข้าพวกกับตอนอื่นที่เป็นประวัติศาสตร์เรื่องจริง
  • ตัวเรื่องเล่าซ้อนทับกันไปมาแบบให้คนดูตัดสินเองว่าอะไรจริงไม่จริง ก็เลยใช้อ้างอิงเรื่องจริงไม่ได้ทั้งหมด

 The Playlist (2022) on IMDb

รีวิว The Playlist

ซีรีส์ที่สร้างจากเรื่องจริงผสมแต่งเติมเรื่องราวบางส่วนเพิ่มเติมเข้าไป โดยเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์การก่อตั้งสร้าง สปอติฟาย สตาร์ทอัพที่แจ้งเกิดในสวีเดนเมื่อปี 2008 แต่เรื่องนี้ไม่ใช่แนวกึ่งสารคดีซะทีเดียว เพราะรูปแบบการเล่าเรื่องมีลำดับชั้นเชิงเล่าเรื่องเป็นหนังสนุกๆ โลดโผนทะเยอทะยานไปกับการสร้างฝันที่เปลี่ยนแปลงวงการเพลงทั้งโลก

ตัวเรื่องไม่ได้เล่าตามลำดับตั้งแต่ก่อตั้งไปจนถึงปัจจุบัน แต่กลับเลือกเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละครสำคัญ 6 คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องสำคัญกับการกำเนิดสปอติฟายทางใดทางหนึ่ง โดยแยกเรื่องเป็น 6 ตอน แต่ละตอนก็จะเป็นเรื่องเล่าจากมุมของตัวคนนั้น แต่ตอนจบทุกตอนตัวละครในตอนต่อไปจะมาบอกว่าเรื่องที่คุณพึ่งดูไป อาจจะไม่ได้เป็นอย่างนั้นซะทีเดียว กลายเป็นตัวทุกคนคือตัวเอกเท่าเทียมกันหมด โดยมีตัวร้ายในแต่ละตอนที่เป็นตัวเอกในตอนก่อนหน้านั้น เป็นการเล่ามุมมองที่ต่างออกไปสไตล์หนังราโชมอน ที่เหตุการณ์เดียวกันก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ความจริงทั้งหมด และแนวเรื่องทั้ง 6 ตอนก็มีสไตล์แตกต่างกันไปเลย 

ตอนแรกเป็นเรื่องของผู้ให้กำเนิดอย่าง แดเนียล เอ็ก ที่เป็นแนวสตาร์ทอัพสร้างฝันที่มีอุปสรรคมากมาย แต่ที่ใหญ่สุดคือการเจรจากับค่ายเพลงที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่พอตอนต่อไปเราจะได้เห็นมุมของ แพร์ ซุนดิน ประธานโซนี่มิวสิคสวีเดนที่เหมือนเป็นตัวร้ายในตอนแรก แต่กลับกลายเป็นว่าเขาต้องต่อสู้อย่างหนักกับเว็บไซต์โหลดเพลงเถื่อนไพรเรทเบย์ รวมถึงคนในโซนี่เองที่ไม่คิดจะยอมเปิดใจเปลี่ยนแปลงอะไรง่ายๆ ก่อนที่ตอน 3 จะเป็นเรื่องของทนายสาว เพตา ที่มีอนาคตไกลแต่เลือกมาเสี่ยงดวงกับสปอติฟาย เป็นเรื่องราวการเจรจาทางกฎหมายล้วนๆ และเธอยังเป็นคนต้นคิดโมเดลธุรกิจเพลย์ลิสต์ของสปอติฟายอีกด้วย แต่เธอก็กลายเป็นตัวร้ายในตอน 4 เมื่อโปรแกรมเมอร์อัจฉริยะผู้สร้างเบื้องหลังการทำงานสตรีมิ่งสปอติฟายตัวจริงกลับเห็นต่างจากความคิดเธอ กลายเป็นตอนที่เล่าเรื่องราวเนิร์ดสุดขั้วที่เข้ากับใครไม่ได้ในชีวิต ตอน 5 เป็นเรื่องราวของ มาร์ติน ลอเรนต์ซอน นักลงทุนที่ร่วมก่อตั้งสปอติฟายกับแดเนียล เอ็ก ที่มีบุคลิกภาพแปลกแตกต่าง ตอน 6 เป็นศิลปินสาวผิวดำ บ็อบบี้ ที เพื่อนวัยเด็กของแดเนียล เอ็ก ที่กลายมาเป็นแกนนำรณรงค์ปัญหาสปอติฟายเอาเปรียบศิลปินนักร้องนักดนตรี ที่เป็นข่าวมาตลอด แต่ตอนนี้จะเล่าเรื่องของปัจจุบันและแต่งเรื่องอนาคตต่อไปในปี 2025 ของสปอติฟายที่ปัญหานี้เรื้อรังจนทำให้สถานะการเงินของสปอติฟายสั่นคลอน และยังโดน สว.อเมริกา เชิญตัวมาให้ข้อมูลเรื่องการกุมอำนาจในตลาดเกินไปจนทำให้ศิลปินไม่มีทางออก 

ถึงเรื่องราวจะเป็นมุมมองที่ต่าง มีการเล่าเหตุการณ์ซ้ำ แต่ก็แค่ซ้อนทับนิดหน่อย ตัวเรื่องยังเดินหน้ากับเส้นเรื่องการก่อตั้งเปิดตัวสปอติฟายให้โลกได้เห็นเป็นหลัก โดยมีจุดกำเนิดที่เกี่ยวพันกับเว็บไพเรทเบย์ที่เป็นข่าวค่ายเพลงรวมตัวกันฟ้องร้องเอาผิด แล้วก็เกิดการชุมนุมต่อต้านค่ายเพลงว่าเอารัดเอาเปรียบ ไปจนถึงกระแสคนรุ่นใหม่ยุคนั้นที่เติบโตมากับเว็บบิทโหลดเพลงเถื่อน จนรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ซึ่งก็เป็นที่มาของไอเดียสปอติฟายที่จะทำสตรีมมิ่งเลพงถูกกฎหมายและดีกว่าไพเรทเบย์ในทุกทาง แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาหลักๆ คือค่ายเพลงที่ยังคงไม่เชื่อในโมเดลธุรกิจสตรีมมิ่งเพลงฟรีในตอนนั้น ที่อินเตอร์เน็ตก็ยังไม่ได้ดีมากด้วย (ปี 2006) 

ตัวเรื่องทุกตอนจะให้อารมณ์หลักๆ คือ ความกดดันที่ตัวละครแต่ละตัวได้รับ แบบชนิดที่ว่าเราคนดูเองก็ยังนึกไม่ถึงว่าเบื้องหลังการสร้างสปอติฟายจะโหดหินขนาดนี้ ซึ่งแม้จะประสบความสำเร็จแล้วก็จริง แต่เบื้องหลังใครหลายคนในนั้นก็ไม่ได้จบสวยเสมอไป บางคนยังเจอกับการทรยศหักหลังหรือสถานการณ์ที่บีบจนทำให้ต้องเอาตัวเองออกไป เป็นเรื่องราวแบบเรียลๆ ที่ไม่ได้สวยหรูดูดีอย่างที่เห็นกันในฉากหน้า 

สำหรับผู้เขียนชอบ 4 ตอนแรกมากที่สุด เป็นช่วงที่สปอติฟายบุกฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ นาๆ แต่ตอน 5 เรื่องราวของนักลงทุนผู้ก่อตั้งดูเป็นแนวเศร้าๆ กับปัญหาทางบุคลิกภาพจิตใจ ซึ่งแตกต่างออกไปจากเรื่องราวการสร้างใน 4 ตอนแรก อาจะไม่สนุกเท่า แต่ตอน 6 เรื่องราวอนาคตของสปอติฟายดูเป็นเรื่องแต่งไว้ล่วงหน้าไปหน่อย ไม่ค่อยอินเท่าไหร่ ก็จะดูดรอปลง แต่รวมๆ ก็ไม่ได้แย่ เพราะทำให้เห็นมุมด้านร้ายๆ ของแดเนียล เอ็กกับสปอติฟายที่กลายมาเป็นตัวบ่อนทำลายงานสร้างสรรค์ของนักดนตรีได้เช่นกันครับ

เป็นลิมิเต็ดซีรีส์ที่แนะนำให้ดู มีความครีเอทในการเล่าเรื่องแตกต่างไปจากซีรีส์โดยทั่วไปมาก เพราะเป็นงานสวีเดนด้วย ถึงแม้ไม่ได้เป็นคนฟังเพลงหรือใช้สปอติฟายก็ยังดูสนุกไปได้แน่ๆ เรียกว่าของดีที่ไม่ได้มีมาบ่อย ถ้าชอบซีรีส์นอกกระแสแนะนำห้ามพลาดครับ

 

อ่านรีวิวหนัง Netflix ในเว็บไซต์เพิ่มเติมคลิกที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!