playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Losing Alice อีโรติกจิตวิทยาที่น่าดู แต่เรื่องยาวยืดชวนหลับ

สรุป

นี่เป็นซีรีส์อีกเรื่องของ Apple TV ที่ทำออกมาเฉพาะกลุ่มมากๆ หากใครอินกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ครอบครัว การคลั่งรัก กามอารมณ์ก็จะชอบเรื่องนี้มาก ประกอบกับดนตรีที่ไม่น่าไว้ใจ ภาพสวยๆ เนื้อเรื่องชวนดำดิ่ง ซึ่งเซ็ตอัพหลายๆ ของซีรีส์มันดีมาก แต่แย่ในเรื่องการนำเสนอที่ค่อนข้างช้ามาก และเข้าใจยากจนเกือบเป็นงานศิลป์ ถ้าไม่ชอบมากก็จะเกลียดไปเลย รวมไปถึงปัญหาของซับไตเติลภาษาไทยที่ควรปรับปรุง โดยเฉพาะคำว่า นะค่ะ เพราะฉะก่อนดูเรื่องนี้ ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามันเป็นเรื่องราวแบบเฉพาะกลุ่มจริงๆ

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เนื้อเรื่องน่าสนใจ
  • ตัวละครหลักทั้งอลิซและโซฟี มีเสน่ห์มาก
  • ภาพสวย ดนตรีประกอบเพราะ บรรยากาศกดดัน

Cons

  • ดำเนินเรื่องช้าแบบ ช้ามากจนชวนหลับ
  • เป็นเรื่องเฉพาะกลุ่ม ดูค่อนข้างยาก ถ้าไม่ชอบก็เกลียดไปเลย
  • ซับไตเติลภาษาไทยแปลได้ไม่ค่อยดี
  • ฉาก JumpScare ชวนขนลุก

Losing Alice ซีรีส์ดราม่าอีโรติกระทึกขวัญจิตวิทยาของ Apple Tv+ ส่งตรงจากอิสราเอล เรื่องราวของผู้กำกับหญิง ที่เจอคนเขียนบทหนังที่เธอใฝ่หาและเติมเต็มชีวิตเธอ แต่เรื่องราวและความรู้สึกของเธอกลับดำดิ่งจมลึกไปกับจินตนาการภายใต้บทนั้น จนมันได้เปลี่ยนชีวิตเธอไป

 Losing Alice (2020) on IMDb

ตัวอย่าง Losing Alice

รีวิว Losing Alice 

อลิซ ผู้กำกับหญิงที่พักงานจากการเลี้ยงลูก ไม่ได้ทำหนังมานานจนเขียนบทไม่ออก แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็บังเอิญเจอกับนักเขียนบทที่เป็นแฟนคลับของเธอ โซฟี แล้วอลิซก็ได้อ่านบทหนังเรื่อง “ห้อง 209” จนประทับใจ และเธอตั้งเป้าไว้ว่าจะกำกับมันให้ได้ แต่นั่นก็ทำให้อลิซเอง ได้ดำดิ่งเข้าสู่โลกอันแปลกประหลาดของโซฟี มือเขียนบทหนังคนนี้ ที่ทุกอย่างรอบๆ ตัวอลิซ มันค่อยๆ เปลี่ยนไป เมื่อพระเอกหนังเรื่องห้อง 209 ก็คือ เดวิด สามีของเธอเอง

แม้ว่าตัวอย่างซีรีส์จะดูเป็นแนวดราม่าระทึกขวัญ ซึ่งมันก็มีองค์ประกอบนั้นจริงๆ แต่ทั้งเรื่องนั้นเน้นหนักไปทางดราม่า และอารมณ์ต่างๆ ของตัวละคร ซึ่งมันจะดูลอยๆ ฟุ้งๆ จนเกือบจะเป็นหนังคัลท์ หนังอินดี้ฟิล์มนัวร์ ทำให้ใครที่ไม่เคยดูแนวนี้มาก่อน หรือหวังว่าจะตื่นเต้นและลุ้นไปกับเรื่องนี้ กลับกลายเป็นว่าตัวซีรีส์เองดูค่อนข้างยากเลยทีเดียว

ด้วยจังหวะการเล่าเรื่องที่เน้นอารมณ์ และสื่อถึงความคิดของตัวละครต่างๆ ภายในเรื่อง การดำเนินเรื่องมันเลยช้ามาก ช้าแบบสุดๆ ประกอบหลายๆ อย่างในเรื่อง ที่จะเน้นอาศัยการตีความของผู้ชมด้วยส่วนหนึ่ง แม้จะไม่ต้องคิดมากเท่าไหร่ แต่จุดนี้มันก็ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นประเภท “ไม่ชอบมากก็เกลียดไปเลย”

โดยเรื่องราวที่ตัวซีรีส์ต้องการสื่อ จะเป็นเรื่องของอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้กำกับหญิงวัยกลางคนอย่าง อลิซ ที่เริ่มแรกหมกมุ่นอยู่กับบทหนังที่เธอใฝ่หา จนกลายมาเป็นหมกมุ่นในตัวโซฟี คนเขียนบทวัย 24 ปี เธอได้กลายเป็นสีสันในชีวิตของอลิซ ทำให้ชีวิตคู่ของอลิซ กับเดวิด เริ่มจะมีปัญหา และตัวเดวิดเองเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียง มีภรรยาเป็นผู้กำกับ แต่เดวิดได้รับบทเป็นพระเอกหนังอีโรติกเรื่อง ห้อง 209 อลิซเองก็อยากกำกับหนังเรื่องนี้ มันเลยเกิดความคลางแคลงใจของสามีภรรยา เพราะต่างฝ่ายก็กลัวว่าการร่วมงานกันแบบนี้ในหนังอีโรติก การเห็นสามีของตัวเองไปแสดงฉากอีโรติกกับนักแสดงหญิง โดยมีภรรยาเป็นผู้กำกับ มันคงกระอักกระอ่วนไม่น้อย

Losing Aliceสิ่งที่ทำได้ดีเลยก็คือ โทนเรื่อง ที่ตลอดทั้ง 8 ตอนนั้น ดูแล้วอึดอัดด้วยองค์ประกอบหลายๆ อย่าง ทั้งงานภาพที่สวยงาม จัดวางองค์ประกอบ แสงเงาต่างๆ เทียบชั้นหนังดีๆ ได้เลย รวมไปถึงเสียงประกอบที่ทำให้เกือบจะเหมือนเป็นซีรีส์สยองขวัญ เพลงประกอบบางฉากที่เพราะและเข้ากับอารมณ์ของซีรีส์ ฉากวาบหวิวที่โชว์สัดส่วนของนักแสดงหญิงจนเห็นเต็มหน้าอก

แต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ค่อยโอเคก็คือฉาก Jump Scare ที่ใส่มาในตอนแรกๆ เช่นนางเอกเปิดผ้าม่าน เจอคุณยายตึกข้างๆ ยิ้มให้ด้วยความอัทยาศัยดี แต่จู่ๆ คุณยายก็เริ่มสั่นหัวเร็ว แบบแปลกๆ โมเมนต์แบบนี้ชวนให้ขนลุกไม่น้อย แต่ไม่เข้าใจว่าจะใส่มาทำไม ในเมื่อมันไม่ได้เข้ากับเรื่องเท่าไหร่ มันควรที่จะเป็นความระทึกขวัญ (Thriller) ไม่ใช่สยองขวัญ (Horror) (แต่ในตอนหลังๆ ไม่มีอะไรแบบนี้แล้ว)

ตัวละครหลักทั้งสองตัวอย่างอลิซ และโซฟี เป็นตัวละครที่มีเสน่ห์และเป็นตัวแบกของเรื่องนี้ เราจะค่อยๆ เข้าใจถึงอารมณ์ของพวกเธอมากยิ่งขึ้นเมื่อดูไปเรื่อยๆ แต่บางอย่างมันก็ต้องอาศัยการตีความ หรือคิดตาม เพราะส่วนใหญ่มันจะนำเสนอถึงปัญหาของครอบครัว ชีวิตคู่ อารมณ์หลง อิจฉา ริษยา จนเลยเถิดไปยังเหตุการณ์ต่างๆ ถ้าหากว่าใครชอบแนวอีโรติกก็น่าจะชอบเรื่องนี้

แต่อย่างที่บอกข้างต้นว่าปัญหาใหญ่ของมันก็คือการดำเนินเรื่องที่ช้าเสียจนชวนหลับ แม้จะมีเนื้อเรื่องที่น่าสนใจ ตัวละครที่ดี ก็ยังไม่สามารถฉุดตรงนี้ให้หายน่าเบื่อได้เลย ถ้าหากว่าเรื่องนี้ทำเป็นหนังสองชั่วโมงจบ แทนที่ซีรีส์ 8 ตอน แต่ละตอนยาวกว่า 45 นาที อาจจะน่าติดตามมากกว่านี้

มันดำเนินเรื่องช้าๆ เรื่อยๆ แบบนี้ไปจนจบ แม้จะมีช่วงพีคแต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรกับเรื่องเท่าไหร่ เพราะเรื่องราวของซีรีส์ที่วางปมไว้ มันก็เฉลยได้ไม่พีคเท่าที่ควร จุดที่เราคิดว่ามันน่าจะหักมุมแน่ๆ แต่ก็ดำเนินไปอย่างเรียบเฉยซะอย่างนั้น มันเลยต้องดูต้องคิดตาม ต้องตีความจนกลายเป็นน่าหงุดหงิดในตอนท้าย

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งเลยก็คือ ซับไตเติลภาษาไทยของ Apple Tv+ ที่แปลออกมาได้ค่อนข้างแย่ ไม่แน่ใจว่าแปลจากภาษาอิสราเอลโดยตรง หรือเอาจากภาษาอังกฤษ ที่แปลจากภาษาอิสราเอลมาแปลอีกที เพราะว่าสรรพนามที่ควรจะเรียกตัวละครหญิงในเรื่องว่า “เธอ” เป็นคำว่า “เขา” ทั้งหมด ในเรื่องนี้ไม่มีคำว่าเธอเลย เวลาตัวละครหนึ่ง กล่าวถึงอีกตัวละครหญิง ทำให้เราต้องติดตามดูดีๆ ไม่งั้นจะงงได้เลย และอีกอย่างที่อยากจะติ และอยากตีมือคนแปลมากก็คือคำว่า “นะค่ะ” ซึ่งมันไม่ใช่ ตรงนี้ทำได้แย่มากและควรปรับปรุง

นี่เป็นซีรีส์อีกเรื่องของ Apple TV ที่ทำออกมาเฉพาะกลุ่มมากๆ หากใครอินกับความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ครอบครัว การคลั่งรัก กามอารมณ์ก็จะชอบเรื่องนี้มาก ประกอบกับดนตรีที่ไม่น่าไว้ใจ ภาพสวยๆ เนื้อเรื่องชวนดำดิ่ง ซึ่งเซ็ตอัพหลายๆ ของซีรีส์มันดีมาก แต่แย่ในเรื่องการนำเสนอที่ค่อนข้างช้ามาก และเข้าใจยากจนเกือบเป็นงานศิลป์ ถ้าไม่ชอบมากก็จะเกลียดไปเลย รวมไปถึงปัญหาของซับไตเติลภาษาไทยที่ควรปรับปรุง โดยเฉพาะคำว่า นะค่ะ เพราะฉะก่อนดูเรื่องนี้ ต้องทำความเข้าใจด้วยว่ามันเป็นเรื่องราวแบบเฉพาะกลุ่มจริงๆ

สำหรับคนที่ดูแล้วงง ไม่เข้าใจสิ่งที่ซีรีส์พยายามจะสื่อ ผมจะสรุปเนื้อหาทั้งเรื่องให้เข้าใจได้ง่ายที่สุด

อลิซ ลุ่มหลงในตัวของโซฟีมาก เพราะเธอเขียนบทที่อัจฉริยะ ใช้ชีวิตแบบโลดโผนในแบบที่เธอไม่เคยเป็น จนยอมให้ตัวโซฟี เข้าฉากมีเซ็กซ์กับสามีตัวเองในหนังที่อลิซกำกับเองกับมือ

ในตอนถ่ายหนัง เพื่อความสมจริง ทั้งพระเอกสามีของอลิซและนางเอกคือคนเขียบท ได้เข้าด้ายเข้าเข็มกันจริงๆ ปล่อยไปตามอารมณ์ ปลดปล่อยทุกอย่าง จนสุดท้าย อลิซ ที่ดื้อดึงจะกำกับหนังเรื่องนี้ให้ได้ก็กลายเป็นคนที่เจ็บปวดที่สุด

เท่ากับว่าทั้งเรื่อง ในสิ่งที่อลิซคิดว่าโซฟีทำไม่ดี อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นเพียงแค่ความคิด ความอิจฉา และหลายๆ อารมณ์ของเธอเอง เพราะเธออยากให้มันมีอะไรบางอย่าง และคิดว่ามันมี ทั้งๆ ที่มันไม่มีอะไรเลย เหมือนเธอต้องการเติมเต็มความแฟนตาซีในชีวิต

จนในที่สุดก็กลับสู่โลกความจริง และเป็นดั่งตอนจบ ซึ่งเนื้อเรื่องมันก็จะค่อยๆ ทำให้เราสงสัยตรงนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีอะไรมาก อยู่ที่ความคิดของแต่ละคนที่ได้ดูแล้วว่าจะได้อะไรบ้าง

รับชม Losing Alice ได้ทาง Apple Tv+

อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์เรื่องอื่น ได้ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!