playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Operation Hyacinth (Netflix) ปฏิบัติการลับล้างเกย์ยุคคอมมิวนิสต์

สรุป

ถือว่าเป็นภาพยนต์ที่การันตีว่าดีได้ในระดับหนึ่ง เพราะได้ถึง 3 รางวัลจากงานเทศกาลหนังโปแลนด์ของปีนี้ ด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ หยิบยกปฏิบัติการลับที่กวาดล้างชาวเกย์ในยุคที่โปแลนด์เป็นคอมมิวนิส มานำเสนอได้อย่างดีในรูปแบบของหนังฟิลม์นัวร์ ถ่ายทอดบรรยากาศในยุค 80s และให้กลิ่นอายหนังสืบสวนเก่าๆ ที่ชวนคิดถึง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ นอกจากพล็อตเรื่องที่ “น่าจะ” นำเสนอมันให้ออกมาดี หรือน่าสนใจได้มากกว่านี้ ถ้าหากใครที่ชอบกลิ่นอายหนังสืบสวนเก่าๆ เรื่องนี้ก็มีให้คุณได้เสพบรรยากาศ ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวการสืบหาความจริงแบบเพลินๆ ไม่ได้ซับซ้อนจนต้องขมวดคิ้วตาม

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • พล็อตเรื่องน่าสนใจ หยิบยกเอาเรื่องจริงกับปฏิบัติการกวาดล้างรักร่วมเพศในยุคคอมมิวนิสต์มานำเสนอ
  • กลิ่นอายหนังสืบสวนฟิล์มนัวร์มาเต็ม
  • การันตีด้วยรางวัลจากเทศกาลหนังโปแลนด์ 3 รางวัล

Cons

  • ไม่ได้มีความแปลกใหม่ในแง่ของหนังสืบสวนนอกจากพล็อตเรื่อง
  • พล็อตเรื่องน่าสนใจ แต่ไม่ได้นำเสนอในให้มัน “ถึง” กว่านี้

Operation Hyacinth ปฏิบัติการไฮยาซิน หนังรางวัลจากเทศกาลหนังโปแลนด์ปี 2021 ได้ลง Netflix ให้ชมกันแล้ว กับแนวสืบสวนฟิล์มนัวร์ เรื่องราวของนักสืบหนุ่ม ที่คาใจกับคดีฆาตกรรมชาวรักร่วมเพศ ที่ถูกปิดคดีไปอย่างปริศนาทั้งๆ ที่สืบไม่เสร็จ เขาจึงทำการสืบสวนหาต้นตอที่แท้จริงให้ได้

 Operation Hyacinth (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Operation Hyacinth ปฏิบัติการไฮยาซิน

รีวิว Operation Hyacinth ปฏิบัติการไฮยาซิน

ไฮยาซิน คือดอกไม้ชนิดหนึ่ง เป็นคำสแลงของชาวโปแลนด์ที่เอาไว้เรียกเหล่าชายรักชาย โฮโมเซ็กชวล ก่อนที่จะมีคำว่า LGBTQA+ โดยเนื้อหาในหนัง จะพาเราย้อนกลับไปเมื่อปี 1985 ณ กรุงวอร์ซอ เมืองหลวงของประเทศคอมมิวนิสอย่างโปแลนด์ในยุคนั้น

โรเบิร์ต นายตำรวจหนุ่มไฟแรงอนาคตไกล แถมมีพ่อเป็นนายตำรวจคนใหญ่คนโต ได้รับมอบหมายให้สืบคดีเกี่ยวกับการฆาตกรรมของเกย์คนหนึ่ง พอเขากำลังจะสืบเข้าหาตัวการใหญ่ได้ กลับกลายเป็นว่าคดีนี้ถูกทางการปิดลงไปดื้อๆ จนเขารู้สึกคาใจ จนต้องตามสืบหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังนี้ด้วยตัวเอง

จนโรเบิร์ตได้บังเอิญเจอกับเกย์หนุ่ม อาเร็ค ที่น่าจะเป็นสายข้อมูลให้กับเขาได้ เขาได้พาโรเบิร์ตเปิดหูเปิดตา กับสังคมของชาวสีม่วงที่อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ จนมีอะไรบางอย่าง ก่อตัวขึ้นมาในใจ ยิ่งสืบไปก็กลับยิ่งพบว่า คนใกล้ตัวของเขา อาจจะอยู่เบื้องหลังการจัดการ กดขี่ และปฏิบัติการล้างบางสังคมเกย์อย่างลับๆ ของตำรวจก็เป็นได้

ต้องบอกก่อนเลยว่าหนังเรื่องนี้ มีทุกองค์ประกอบของหนังสืบสวนฟิลม์นัวร์อยู่ครบถ้วน ทั้งการสืบสวน การวิ่งไล่จับผู้ร้าย การแฝงตัวไปสืบ เรื่องราวที่ตีแผ่สังคม นายตำรวจโหดๆ ที่ลงมืออย่างรุนแรงกับผู้ร้าย บรรยากาศเทาๆ หม่นๆ นั่นทำให้รวมไปถึงการดำเนินเรื่องในแบบเสพบรรยากาศ ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าหากใครที่ไม่ชอบหนังแนวดำเนินเรื่องช้าๆ อาจจะไม่ค่อยถูกจริตเท่าไหร่

ภาพยนต์เรื่องนี้ ได้หยิบยกเอาเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในอดีตของประเทศโปแลนด์ มาเป็นตัวเดินเรื่อง ผ่านมุมมองของนายตำรวจหนุ่มคนหนึ่ง โดยอย่างที่รู้กันดีว่า ในอดีต เพศที่สาม ชายรักชาย ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ไม่ได้ยอมรับจนถึงขนาดที่ว่าตำรวจได้จัดตั้งปฏิบัติการล้างบางคนพวกนี้ขึ้นมา และนี่คือพอยต์หลักสำคัญของเรื่องที่จะพาเราไปทำความเข้าใจ เกี่ยวกับประเทศคอมมิวนิสต์อย่างโปแลนด์ในยุคนั้น

มันจะค่อยๆ เล่าเรื่องการสืบสวนที่คดีฆาตกรรมเกย์คนหนึ่ง ที่อาจจะมีเอี่ยวไปถึงผู้อยู่เบื้องหลัง ที่อาจจะเป็นนายตำรวจระดับสูง ทนาย หรือนายแพทย์ ซึ่งช่วงแรกๆ ก็จะนำเสนอในแบบหนังสืบสวนทั่วไป บรรยากาศหม่นๆ ของตอนกลางคืน ในตึกรามบ้านช่องให้กลิ่นอายแบบหนังสืบสวนเก่าๆ ซึ่งแต่ละฉาก ถ่ายทอดอารมณ์และบรรยากาศของยุค 80s ออกมาได้อย่างดี ภาพสวยทุกฉาก และมีการวิ่งไล่ล่า ตามหาข้อมูล ตัวคนร้าย คนเกี่ยวข้อง ซึ่งจะเป็นทริลเลอร์เล็กๆ ที่เข้ามาทำให้ผู้ชมตื่นเต้น ไปกับจังหวะหนังที่จะไปแบบ เอื่อยๆ เรื่อยๆ ไม่ให้น่าเบื่อเกินไป

ประเด็นที่น่าสนใจก็คือพล็อตเรื่อง ที่นำเสนอในเรื่องราวของคนรักร่วมเพศที่ถูกกีดกันในยุคนั้นผ่านตัวละครตำรวจหนุ่มที่กำลังจะแต่งงาน มันก็เลยจะมีโมเมนต์ที่ ยิ่งตัวเอกเราเข้าไปในสังคมของชาวสีม่วงมากเท่าไหร่ มันก็จะยิ่งมีความหวั่นไหว เลยเกิดเป็นซีนอารมณ์ ดราม่า ที่มันถ่ายทอดออกมาทางการแสดงของนักแสดงหลักได้อย่างดี และเรื่องราวดราม่ามันก็จะเชื่อมไปถึงเหตุผลต่างๆ ทั้งพ่อของพระเอกที่เป็นนายตำรวจใหญ่ มีเอี่ยวกับคนมีเส้นสายนั่นนู่นนี่ ทำให้เนื้อเรื่องก็ค่อนข้างที่จะน่าติดตาม

แต่นอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้น พล็อตเรื่องที่หยิบเอาเหตุการณ์จริงของสังคมเกย์ และปฏิบัติการกวาดล้างในยุคก่อน มันมีความน่าสนใจเพียงเท่านี้ เพราะที่เหลือของหนังเรื่องนี้ต้องบอกเลยว่า ไม่ได้แตกต่างจากหนังสืบสวนเรื่องอื่นอะไรเลย ทำได้ดีตามมาตรฐานของหนังสืบสวนที่ดีเรื่องหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้เป็นการตีแผ่สังคมหรือทำให้มันมีความอิมแพค ให้คนดูได้ตระหนักถึงเหตุการณ์ในอดีต หนังเรื่องนี้ไม่ใช่แบบนั้น มันเหมือนเป็นการถ่ายทอดเรื่องราวในอีกมุมมองนึงมากกว่า

ลองยกตัวอย่างง่ายๆ กับการดำเนินเรื่อง ที่ตัวเอก จะเริ่มสืบจากคดีเล็กๆ จนพบว่ามันมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่มากกว่านี้ แต่ถูกทางเบื้องบนบอกให้หยุดสืบ แต่ตัวเอกไม่ยอมจึงทำการสืบต่อ จนต้องทำให้ตัวเองเดือดร้อน อาจจะถึงชีวิต ภาพยนต์ หรือซีรีส์สืบสวนเรื่องอื่นก็มีให้เห็นกันดาษดื่นมาก นอกจากประเด็นเรื่องการกวาดล้างชาวเกย์ก็ไม่ได้มีอะไรที่สดใหม่เลย

มันเลยทำให้วัตถุดิบอย่างพล็อตเรื่องจากเหตุการณ์จริงที่หยิบยกมา ทำให้เราค่อนข้างรู้สึกว่า “เสียของ” เพราะมันน่าจะมีอะไรที่นำเสนอได้ดีกว่านี้ จุดหักมุม หรือจุดพีคของเรื่องมันก็ไม่ได้เดาอะไรยากเลย ดำเนินเรื่องไปตรงๆ จบแบบตรงๆ จนคนที่ตามดูอาจจะคิดว่า เอ๊ะ นี่เราดูจบแล้วหรือ? แต่ถ้าหากมองในอีกมุม สิ่งที่เขานำเสนอมันก็ดูแบบดิบๆ และสมจริง เพราะเรื่องจริงมันก็ไม่ได้ซับซ้อนหรืออะไรขนาดนั้น ในส่วนนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้ชมแต่ละคนจริงๆ

และต้องบอกไว้อีกอย่างว่า แม้หนังเรื่องนี้จะหยิบยกเหตุการณ์จริงมาอิง แต่สิ่งที่ดำเนินในเรื่องมันไม่ได้เป็นเรื่องจริงแต่อย่างใด เป็นบทหนังแบบเห็นได้ชัดตรงๆ เลย ในเรื่องก็จะมีฉากเซ็กซ์บ้าง ทั้งชายหญิง และชายชาย แต่ไม่ได้โป๊เปลือยมาก

Operation Hyacinth

ถือว่าเป็นภาพยนต์ที่การันตีว่าดีได้ในระดับหนึ่ง เพราะได้ถึง 3 รางวัลจากงานเทศกาลหนังโปแลนด์ของปีนี้ ด้วยพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ หยิบยกปฏิบัติการลับที่กวาดล้างชาวเกย์ในยุคที่โปแลนด์เป็นคอมมิวนิส มานำเสนอได้อย่างดีในรูปแบบของหนังฟิลม์นัวร์ ถ่ายทอดบรรยากาศในยุค 80s และให้กลิ่นอายหนังสืบสวนเก่าๆ ที่ชวนคิดถึง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่แปลกใหม่ หรือแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ นอกจากพล็อตเรื่องที่ “น่าจะ” นำเสนอมันให้ออกมาดี หรือน่าสนใจได้มากกว่านี้ ถ้าหากใครที่ชอบกลิ่นอายหนังสืบสวนเก่าๆ เรื่องนี้ก็มีให้คุณได้เสพบรรยากาศ ดื่มด่ำไปกับเรื่องราวการสืบหาความจริงแบบเพลินๆ ไม่ได้ซับซ้อนจนต้องขมวดคิ้วตาม

รับชม Operation Hyacinth ปฏิบัติการไฮยาซิน ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิว หนัง/ซีรีส์ เรื่องอื่น ได้ที่นี่

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!