playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว A Week Away หนังรักวัยรุ่นมิวสิคัลที่เหมือนหลุดมาจากยุค 2000 (ไม่สปอยล์)

สรุป

หนังวัยรุ่นพล็อตซ้ำซากที่ดูแล้วชวนให้นึกถึงอดีตมากกว่าคาดหวังสิ่งใหม่ ๆ นักแสดงดี การถ่ายทำดี เพลงเพราะ แต่การเล่าเรื่องธรรมดายังกับหลุดมาจากหนังยุค 2000

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • นักแสดงมีเคมีกันทุกคน
  • การถ่ายทำ แสงสีสวยงาม
  • เพลงในเรื่องเพราะ ๆ ติดหู
  • ดูง่าย สบาย ๆ วัยรุ่นชอบ

Cons

  • เนื้อเรื่องธรรมดา ตัวละครไม่น่าสนใจ
  • เป็นหนังมิวสิเคิลถ้าเบื่อเพลง อาจจะเกลียดเลยก็ได้
  • พล็อตซ้ำซากที่ไม่ได้รับการขยี้ให้แตกต่าง
  • หน้าหนังกับเนื้อหนังเหมือนผิดจุดประสงค์การโปรโมท มันไม่ใช่หนังรัก แต่เป็นหนังศาสนาที่สอนให้รักและเชื่อมั่นในตัวเอง

A Week Away (อีก 7 วันฉันจะรักเธอ) ภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าครอบครัวมิวสิคัล กำกับโดย โรมัน ไวต์ เราอาจจะไม่รู้จัก แต่เขาเคยฝากผลงาน Taylor Swift: You Belong with Me เอ็มวีชื่อดังของเทย์เลอร์ สวิฟต์ในปี 2009 และได้รับรางวัล แอคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขามิวสิควิดีโอยอดเยี่ยมแห่งปีจากเอ็มวีดังกล่าวด้วย ว้าว แต่เขาเพิ่งจะได้โดดมานั่งแท่นกำกับภาพยนตร์ยาวให้กับเน็ตฟลิกซ์เป็นครั้งแรก และเขียนบทโดย Kali Bailey, Alan Powell ซึ่งผมก็ไม่รู้จักสองคนนี้สักเท่าไหร่ แต่ความน่าสนใจของเรื่องนี้คือหนังที่มีนักแสดงวัยรุ่นที่คุ้นหน้าคุ้นตาอย่าง เควิน ควินน์,เบลีย์ เมดิสัน,จาห์บริล คุก มาถ่ายทอดเรื่องราวความรักสุดโรแมนติกที่พล็อตก็แอบบคล้ายหนังช่องดิสนีย์สมัยเก่าชอบกล เช่น High School Musical ที่มีเพลงประกอบเป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องราวไปพร้อม ๆ กับตัวละคร แต่หนังเรื่องนี้มันจะมีอะไรที่สนุกและน่าสนใจหรือไม่ เชิญไปอ่านเรื่องย่อกันเลย!
 A Week Away
(2021) on IMDb

“วิล เด็กหนุ่มกำพร้าผู้มีความสามารถในด้านดนตรี แต่มีปัญหาในด้านการเข้าสังคมเพราะการสูญเสียความหวังในตัวเองจากการสูญเสียครอบครัว จนชีวิตเขาถูกจับผลัดจับพลูให้ไปเข้าร่วมกับค่ายโบสถ์หน้าร้อนสุดสัปดาห์ของครอบครัวบุญธรรมร่วมกับวัยรุ่นกว่าร้อยชีวิตในป่าอันห่างไกล ที่ซึ่งมีมนตร์เสน่ห์ของดนตรี มิตรภาพและความรัก เขาจะได้ค้นพบตัวเอง ครอบครัว และการเปิดใจในความสัมพันธ์ ในช่วงเวลาสัปดาห์ 7 วันเหล่านี้ จะทำให้เขาได้เจอกับเรื่องราวที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาไปตลอดกาลด้วยบทเพลงแห่งความเชื่อมั่นและความหวังในตัวของผู้คน”

พล็อตง่าย ๆ พอได้ใจคนดูอยู่บ้าง แต่แอบกังขาเล็ก ๆ ถึงเป้าหมายของเรื่อง

เนื้อเรื่องนั้นเป็นสไตล์หนังวัยรุ่นอเมริกันเลยครับ ตัวเอกเป็นเด็กมีปัญหา ไม่เข้าหน้าใคร ไม่มีใครเข้าใจ ก่อนที่จะถูกส่งไปแคมป์ และตามสเต็ปคือพบเพื่อน พบความรัก มันเดินเรื่องแบบนี้เลย ไม่มีอะไรต้องคิดมาก เพราะเพลงในเรื่องจะเป็นตัวเล่าเรื่องที่รวบรัดและพาเข้าเหตุการณ์เป็นฉาก ๆ และคอยบอกสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งบทตรงนี้นั้นไหลลื่น มีฉากตลกบ้าง ดราม่าเบา ๆ บ้างภายในแคมป์ มีตัวละครร้าย ๆ คอยกลั่นแกล้ง มีตัวละครคู่รอง และตัวละครหลักต้องเผชิญหน้ากับปมปัญหาในใจของตัวเองเพื่อที่จะสามารถลุกขึ้นมายืนหยัดได้ด้วยตัวเอง ซึ่งในส่วนนี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษ แต่ก็สามารถทำให้คนดูรู้สึกเพลิดเพลินและลุ้นเอาใจช่วยตัวละครในเรื่องได้ น่าเสียดายที่ในส่วนพล็อตโรแมนติกที่เหมือนจะถูกชูโรงกลับไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร มันจะไปในเชิงของศาสนาคริสเตียน ความเชื่อมั่น การรักในตัวเองมากกว่า ซึ่งก็เข้าท่าดีในตัวของมัน แต่ก็รู้สึกว่ามันนำเสนอผิดไปจากตัวอย่างนิดหน่อย เพราะเราคาดหวังว่ามันจะเป็นหนังรักโรแมนติก แต่กลับเป็นหนังที่เน้นไปที่ความเชื่อในพระเจ้าของศาสนาคริสต์ที่ผลักดันตัวละคร โดยมีพล็อตความรักเป็นรองเท่านั้น

ตัวละครเหมือนหลุดออกมาจากหนังดิสนีย์สมัยปี 2000

ตัวละครในเรื่องก็หลุดมาจากหนังเก่า ๆ สาวน้อยผู้น่ารักและมอบความสดใสกับชีวิตพระเอกที่เป็นคนปิดกั้นตัวเอง เพื่อนพระเอกที่แอบชอบเพื่อนนางเอก เพื่อนของนางเอกที่แอบหมั่นไส้พระเอกจนต้องหาทางกลั้นแกล้ง พร้อมกับตัวละครผู้ใหญ่ที่มาทำหน้าที่คอยให้คำปรึกษาหรือมาเป็นมุกให้กับเรื่องราว ด้วยสภาพแวดล้อมที่ยังกับโรงเรียนมัธยม แต่สถานที่อยู่ในค่าย บางครั้งตัวละครกำลังร้องเพลงอยู่ ก็จะมีคนมาแจม มาร่วมกันเต้น ทำให้นึกถึงหนังมิวสิเคิลในยุคเฟื่องฟู แต่นอกจากนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ รักก็รัก แอบชอบก็แอบชอบ พระเจ้าจะคอยนำทาง มันคืออีหยังวะ มันไม่มีมิติอะไรเลย ปมของพระเอกที่ดูน่าสนใจ กลับไม่มีการเล่าให้เรารู้สึกว่ามันจะมีการเปลี่ยนแปลง นอกจากความรักที่เขามีให้กับหญิงสาว แต่ในด้านความสัมพันธ์ก็เหมือนใส่ ๆ มา ๆ ให้ดูครึกครื้น ซึ่งในฐานะที่เคยดูหนังแนวนี้มาเยอะ ก็ต้องบอกเลยว่า ไม่มีอะไรแปลกใหม่ คือมันก็ทำหน้าที่ได้ดีในการเล่าเรื่อง แต่ก็นั่นแหละ จบแล้วก็คือจบไม่มีความน่าจดจำอะไร นอกจากการแสดงที่พอจะทำให้ตัวละครดูน่าสนใจ แต่บทมันให้มาแค่นี้ ก็ต้องบอกว่ามีแค่นี้จริง ๆ เสียดายนักแสดง เพราะทำหน้าที่ได้ดีมาก ร้อง เล่น เต้น กันกระจาย

ปมไม่มีอะไรและการแก้ปัญหาสุดซ้ำซาก

พอทุกอย่างธรรมดา ปมมันก็เลยธรรมดา ปมของเรื่องมันแก้ง่ายมาก ๆ ง่ายจนแบบ หา ที่ปูมาตั้งแต่ต้นคืออะไร และเราก็ไม่รู้สึกเลยว่ามันค่อย ๆ คลี่ปมตอนไหน นอกจากช่วงท้ายที่เหมือนปลดปล่อยตัวเอง เชื่อมั่นในตัวเอง หลังจากที่ใช้เวลาเกือบอาทิตย์ในการเชื่อมั่น แล้วก็มาสิ้นหวัง เพื่อที่จะได้มีฉากค้นพบตัวเองและเป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งในส่วนนี้เราก็เห็นมาแล้วในหนังหลาย ๆ เรื่อง แต่มันดันไปอยู่ในมุมของกิจกรรมแคมป์ ผสานกับการออกมาพูดถึงพระเจ้า ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นหนังที่เหมาะสำหรับคนที่นับถือศาสนาคริสต์จะอินมาก แต่ใครที่ไม่ได้นับถือก็ยังสามารถเพลิดเพลินกับความง่ายดายของเรื่องและความไม่ซับซ้อน คือมันไม่มีอะไรจะพูดถึงนอกจาก ตัวเอกมาเข้าค่าย เจอเพื่อน เจอครอบครัว เจอคนรัก และก็สนุกสนานเฮฮากับชีวิตหลังยอมรับตัวเอง ส่วนปมความรักก็จบไปอย่างดื้อ ๆ เลย

มีดีที่เพลงเพราะ และการถ่ายทำที่ดูดีใช้ได้

สิ่งโดดเด่นที่สัมผัสได้ของเรื่องนี้คงเป็นเพลงร้องที่สอดเข้ามาในแต่ละฉากที่ฟังแล้วก็เพราะ และสามารถนำเสนอเรื่องราวได้อย่างชัดเจน แถมได้เห็นตัวละครมารวมตัวกันเพื่อทำการแสดง ราวกับชีวิตจริงทำไม่ได้ยังไงยังงั้น ถ้าใครดูหนังแนวนี้มาก็จะชิน แต่ถ้าใครไม่ค่อยชอบก็จะงง ๆ เพราะหนังมันใช้เพลงเป็นเครื่องเล่าเรื่อง บางครั้งก็ร้องเพลงสุข บางครั้งก็ร้องเพลงเศร้า ในด้านการถ่ายทำก็ดูมีความเป็นภาพยนตร์ฉายโรง มากกว่าภาพยนตร์เน็ตฟลิกซ์ที่แบบคุณภาพไม่ค่อยจะใหญ่ แต่ก็มีมุมกล้องสโลว์ แสงสีสวย ๆ มาคอยช่วยไว้ และการแสดงของนักแสดงทุกคนในเรื่องก็คืออ่านบทแล้วแสดง ดูเป็นธรรมชาติดีไม่มีอะไรติดขัดตามประสานักแสดงที่ผ่านงานมาแล้ว แต่เคมีของนักแสดงนำสองคนอย่าง เควิน ควินน์,เบลีย์ เมดิสัน ก็ชวนให้เคลิ้มกับความสัมพันธ์สุดแสนโรแมนติก แม้จะดูซ้ำซาก แต่คนที่ดูจะขโมยซีนสุดในเรื่องคงเป็น จาห์บริล คุก เจ้าของบทที่สามารถแย่งซีนตัวเอกในเรื่องไปได้เลย นักแสดงคนอื่น ๆ ก็ดี แต่ก็ไม่มีอะไรให้จดจำมากเท่าไหร่

ควรชมหรือข้าม

ถ้าวันหยุดว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็เปิดดูเรื่องนี้ได้ครับ ถ้าไม่ถือสาว่าเป็นหนังพล็อตธรรมดาเรื่องนึง มันก็พอดูเพลินฆ่าเวลาได้ เพราะองค์ประกอบก็อยู่ในขั้นที่โอเค จะมีแต่พล็อตกับการเล่าเรื่องที่ไม่มีชั้นเชิงหรืออะไรอย่างที่คาดไว้ มิหนำซ้ำ หนังยังไม่ได้เป็นหนังที่เน้นไปที่ความรักโรแมนติก แต่กลับเป็นความเชื่อ เพราะฉะนั้นแล้ว หากใครอยากได้พลังบวก ๆ แบบไม่คิดอะไรมาก หรืออยากหาหนังที่ให้ความรู้สึกแบบยุคดิสนีย์ ก็สามารถเปิดดูได้ทางเน็ตฟลิกซ์ มีเสียงพากย์ไทยด้วยนะ แสดงว่าเป็นหนังที่หวังให้คนมาดู แต่น่าเสียดายที่มันยังติดกรอบความง่ายอยู่ ถ้านับพลังการแสดงกับอย่างอื่น มันก็พอจะทำให้หนังดูน่าสนใจ แต่คงไม่ได้ไกลกว่าที่หวังไว้นัก น่าเสียดายจัง อีก 7 วันฉันจะรักเธอ ดันกลายเป็น ฉันจะเชื่อในพระเจ้าและตัวเองในหนึ่งอาทิตย์

ตัวอย่างล่าสุด A Week Away (อีก 7 วันฉันจะรักเธอ)

 

สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่

 

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!