playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Don’t Look Up (Netflix) หนังรวมดาวฮอลลีวู้ดเสียดสีสังคมโลก (ไม่สปอยล์)

สรุป

ภาพยนตร์รวมดาวฮอลลีวู้ดและคอนเซปต์สุดทะเยอทะยานที่ทำออกมาได้แบบผ่าน ๆ และจืดจางอย่างไม่น่าสนใจ แม้ประเด็นจิกกัดเสียดสีสังคมจะทำได้ดี แต่ก็ไร้อารมณ์ร่วมและการตัดต่อที่น่าเบื่อ ได้การแสดงอันยอดเยี่ยมของลีโอนาโดและเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ นอกนั้นโปรดักชั่นคือระดับหนังฟอร์มยักษ์ แต่ก็น่าผิดหวังที่ใช้นักแสดงและตัวละครไม่ดี ทำให้หนังยาวและยืดเยื้อโดยไม่จำเป็น

Overall
6.5/10
6.5/10
Sending
User Review
4 (3 votes)

Pros

  • รวมดาวฮอลลีวู้ดกว่าเกือบยี่สิบชีวิต
  • การแสดงสุดยอดเยี่ยมของลิโอนาโดและเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์
  • ประเด็นสอนใจเรื่องสังคมโลก
  • ดนตรีประกอบสุดสะเทือนอารมณ์ เพลงประกอบที่ได้เข้าชิงออสการ์
  • โปรดักชั่นฟอร์มยักษ์
  • มีพากย์ไทย

Cons

  • การตัดต่อไร้ชั้นเชิงทำหนังยืด
  • คอนเซปต์ดี แต่นำเสนอออกมาไม่ดี
  • ใช้นักแสดงเยอะโดยไม่จำเป็น ใช้ไม่คุ้ม
  • หนังยาวเกินไป ยืดเยื้อเรื่อยเปื่อย

ADBRO

Don’t Look Up (อย่ามองฟ้า ตายหล่ะหว่า โลกจะแตก) ภาพยนตร์ตลกร้ายดราม่าเสียดสีไซไฟ เขียนบทและกำกับโดย อดัม แมคเคย์ ผู้กำกับจอมทำหนังเสียดสีสังคมจาก The Big Short ที่เคยได้รับเสนอเข้าชิงออสการ์ ที่คราวนี้ขอเสียดสีประเด็นโลกร้อน นำประเด็นของโลกแตก อุกกาบาตชนโลกที่ถูกบอกเล่ามาแล้วหลายครั้งอย่างจริงจัง บนจอเงินในแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าจะได้เห็น ผ่านการรวมดาวของฮอลลีวู้ดมากฝีมือมากมาย

สิ่งที่น่าจับตามองเลยคือภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ตลก-มิวสิเคิลยอดเยี่ยมและอีกหกรางวัลจาก 27th Critics’ Choice Awards สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอีกด้วย อีกทั้งเป็นภาพยนตร์ที่ดีที่สุดของปีจาก สถาบันภาพยนตร์อเมริกัน พร้อมคะแนนวิจารณ์ที่อยู่ในเกณฑ์ผสมจากนักวิจารณ์ที่ใช้ได้ไปจนถึงแย่มากแสดงว่าหนังเรื่องนี้มันต้องมีของและอาจจะเสียงแตกอย่างแน่นอนครับ สมทบด้วยนักร้องสาวชื่อดังก้องโลกอย่าง อาริอาน่า กรานเด เจ้าของเพลงดังรางวัลแกรมมี่ และเพลงประกอบของภาพยนตร์ที่เธอร้องยังได้เข้าชิง เพลงประกอบยอดเยี่ยมจากรางวัลออสการ์ ไปแล้วเรียบร้อย

 Don't Look Up (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Don’t Look Up

รีวิว Don’t Look Up

หลังจากได้ค้นพบดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลกในอีกไมนักศึกษาปริญญาสาขาดาราศาสตร์ เคท และ ศาสตราจารย์ดาราศาสตร์ในมหาลัยมิชิแกน แมนดี้ ถูกเรียกตัวให้เข้าพบกับประธานาธิบดี ร่วมกับ ดร.โอเกอทอปในการเปิดเผยความจริงให้สาธารณะรู้ แต่กลับโดนเมินเฉยเหมือนเป็นเรื่องไม่จริงจัง พวกเขาจึงตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่คาดฝันและทำลายชีวิตและการงานของพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังไม่ละพยายาม ออกเดินสาย เพื่อเปิดเผยข่าวให้ทั้งโลกกับสื่อมวลชน แต่กลับถูกมองข้ามและปฏิเสธ เวลาเริ่มนับถอยหลัง พวกเขาเริ่มถกเถียงกันว่า โลกใบนี้อาจจะสมควรแตก หรือ จะยอมปกป้องมัน แม้ว่าจะมีผู้คนมากมายจะยังล้อเลียนถากถาง การออกตามหาทางแก้ไข และหยุดยั้งดาวหางจึงเริ่มขึ้น จากรัฐบาล สู่นักวิจัย จากนักข่าว สู่นักร้องดัง จากคนชั้นสูงสู่คนต่อต้านสังคม การตอบสนองที่แตกต่าง ทำให้ผู้คนเหล่านี้ปฏิบัติกับดาวหางในคนละแบบ ทั้งชาญฉลาดและโง่เขลาที่อาจพลิกชะตากรรมของโลกทั้งใบได้ ด้วยภารกิจครั้งสำคัญของมนุษยชาติที่มีทุกอย่างในดาวดวงนี้เป็นเดิมพัน

การเดินเรื่องของหนังถือว่าค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ บิ๊วประเด็นหลักให้ชัด และให้เห็นสถานการณ์ของตัวละครที่ต้องเผชิญ แต่เอาจริง ๆ มันไม่ใช่หนังตลกแบบฮาแตก มุกขำก๊าก มันคือตลกร้ายที่สะท้อนสังคมโลกในยุคโลกกำลังวุ่นวายเพราะสภาวะเรือนกระจกให้กลายเป็นภัยพิบัติที่มาแบบไม่ต้องมีคำเตือนก่อนแบบเรื่อยเปื่อย ช่วงกลาง ๆ ค่อนข้างน่าเบื่อเพราะวนกับประเด็นเดิม ๆ ทำให้หนังแห้งแล้ง ก่อนที่หนังจะตบหน้าอย่างแรง ด้วยบทสรุปที่กล้าพูดได้เลยว่ามันน่าขัดใจแต่นั่นเป็นความตั้งใจในการเสียดสีผู้คนในเรื่องที่มันเป็นเรื่องไม่ต้องฉลาดก็น่าจะตัดสินใจในทางเลือก คือมันเสียดสีโลกแบบไม่ต้องเป็นแนวดราม่า แต่ให้เห็นตัวละครทำอะไรโง่ ๆ แล้วไม่จริงจังกับสถานการณ์โลกแตก กลับทำอะไรที่ดูตรงข้าม (แต่ใกล้เคียงกับภาพความจริงมาก) มันอาจจะทำให้คนที่หงุดหงิด อยากปิดหนังแล้วไปทำอย่างอื่นได้เลย แถมบางประเด็นก็มาแบบดื้อ ๆ ไม่ได้สำคัญมากกับเรื่องราว บางฉากที่ไม่ต้องมีก็ได้ อาจจะเพราะการตัดต่อของเรื่องที่ค่อนข้างไม่ดึงดูดและมั่วซั่วไร้ชั้นเชิงไปหน่อยเมื่อเทียบกับคอนเซปต์เรื่องที่มันเล่นให้น่าติดตามมากกว่านี้ กลายเป็นหนังธรรมดาที่หาทางลงไม่ได้เลยว่าจะเป็นตลกร้ายหรือสอนใจคนดูถึงวิกฤติธรรมชาติ เพราะหนังน่าเบื่อมาก

ตัวละครของเรื่องแม้จะมีมากมายแต่กลับไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่ากับตัวหลักมากกว่าที่คาดไว้ เพราะตัวหลัก ๆ จะมีแค่ มินดี้ อาจารย์ดาราศาสตร์ผู้ไร้ความมั่นใจและถูกเกลี้ยกล่อมให้ยินยอมทำตามสังคม แม้จะมีอุดมการณ์สำคัญแต่ก็ประนีประนอมก่อนเสมอ จนตัวเองใช้ชีวิตไปอย่างสูญเปล่า ตัวละครนี้ไม่ค่อยมีการสำรวจอะไรมากนัก เมื่อเทียบกับ เคท นักศึกษาหญิงที่ตรงไปตรงมาไม่หวาดหวั่นแม้ใครหน้าไหน ไม่ยอมประนีประนอมจนโดนสังคมรุมรังแก จนกลายเป็นหายไปจากสังคม แม้ว่าเธอจะพูดความจริงมากแค่ไหน เธอก็ไม่เคยได้อะไรตอบแทน โดนแม้แต่ผู้คนกีดกันจนกระทั่งได้ปล่อยวาง ดร.โอเกอทอป นักวิทยาศาสตร์ที่คอยซัพพอร์ทแต่ก็ไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญนอกจากบอกว่าดาวหางจะชน บรี พิธีกรรายการข่าวหญิงผู้สุดเหวี่ยงและรักสนุก ประธานาธิบดีเจนี่ที่ทำตัวเอ้อระเหย ห่วงแต่ผลประโยชน์ทางทรัพย์สิน ไม่เคยสนใจคนชนชั้นล่าง คนชั้นแรงงาน พอมีนักวิทยาศาสตร์มาเตือน ก็หัวสถาบันนิยม ต้องเป็นคนเรียนจบมหาลัยดัง ๆ มีชื่อ ถึงจะเชื่อซะงั้น (โง่มาก) จนมันสายเกินไป แถมยังร่วมมือกับปีเตอร์ ผู้คิดค้นเทคโนโลยีผู้คิดว่าตัวเองชนะทุกสิ่งด้วยทรัพยากรและความร่ำรวย กอบโกยด้วยความโลภจนนำหายนะมาสู่โลก ตัวร้ายจริง ๆ จึงไม่ใช่ดาวหาง แต่เป็นมนุษย์ที่เอาแต่ห่วงผลประโยชน์จนนำความวุ่นวายมาสู่สังคม และไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาอะไรเลยด้วย นอกนั้นก็มาแบบรับเชิญบทแทบไม่สำคัญอะไรที่ต้องเอานักแสดงดัง ๆ มาด้วยซ้ำ เหมือนให้มาเล่นผ่าน ๆ จิกกัดสังคมโลกไปงั้น ๆ

หนังสะท้อนภาพของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพที่ไม่ใส่ใจปัญหาของตัวเอง นอกจากคะแนนเสียงและความนิยม ทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาตำแหน่ง มิหนำซ้ำยังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีและนายทุนในการส่งเสริมให้วัฒนธรรมบริโภคนิยมที่ผู้คนใช้แต่มือถือและเทคโนโลยีจนเป็นเหตุให้เกิดความเหลื่อมล้ำความไม่เท่าเทียม วงการสื่อที่มองความสัญญาณอันตรายของโลกด้วยการกลบเกลื่อนและบิดเบือนไปมา ทำให้นักวิทยาศาสตร์กลายเป็นตัวตลก ทั้งที่พวกเขารู้เรื่องมากกว่าใคร ๆ แต่เพราะไม่มีเครดิตโด่งดังหรือร่ำรวย บุคลิกไม่น่าดูก็ถูกตีค่าว่ามีจุดประสงค์ร้ายเมื่อออกมาทักท้วง กลายเป็นจำเลยสังคม คนในโลกให้ความสำคัญแต่กับปัญหาของตัวเอง และปิดใจไม่ยอมให้ความสำคัญกับคนรอบตัวที่หยิบยื่นให้ในยุคสังคมก้มหน้า การสร้างกระแสในหมู่คนดังที่มีความหมายในโซเชียล มากกว่าภัยธรรมชาติ หรือใช้การเมืองเป็นเครื่องมือสร้างความแตกแยก ทั้งที่มันเป็นสิทธิ์ในการแสดงความเห็น ความดิบเถื่อนของมนุษย์ เมื่อตัวเองเข้าตาจน พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อให้อยู่รอด นิยามที่ว่า คนรวยที่โง่มักอยู่รอดเสมอ แม้ว่าคนจนที่ฉลาดจะพยายามมากแค่ไหน จะดูน่าเชื่อถือหรือโด่งดัง ก็โดนผู้นำหรือนายทุนกดทับจนกลายเป็นส่วนหนึ่ง หลงลืมตัวตน หรือแม้แต่ทอดทิ้งทุกประเทศเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด แต่ก็ไม่รอบคอบเพราะความอยากได้ไม่มีสิ้นสุดที่ทำลายสังคมมนุษย์ แม้จะอ้างว่าเทคโนโลยีพัฒนาโลก แต่สุดท้ายธรรมชาติจะเอาคืนมนุษย์เสมอ

ในส่วนการตัดต่อถือว่าไม่เร้าอารมณ์ในสถานการณ์ในเรื่องเท่าที่ควรทำให้จังหวะของเรื่องดูเอื่อยเฉื่อยเรื่อยไป แต่การแสดงของ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ที่ตีบทแตกของบทจากหนุ่มเด๋อ ๆ เด๋อ ๆ ให้กลายเป็นที่สุดของความคลั่งแทบไม่มีอะไรต้องติ ในขณะที่เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ โชว์อารมณ์ที่หลากหลายระหว่างโกรธ เศร้า เฉยชา ร้องไห้ให้ดูตลก และจังหวะการเล่นที่เข้ากับลีโอนาโด และคงเป็นส่วนยอดเยี่ยมที่สุด ในขณะที่นักแสดงคนอื่นที่เหลือ ถือว่ามาตรฐานการแสดงและมีบทตลกและล้อเลียนประปรายจนไม่รู้สึกว่าโดดเด่นอะไร เพราะไม่ได้มีการฟาดฟันการแสดงนอกจากความตลก แต่ที่น่าเสียดายคือ อาริอาน่า กรานเดนั้นมีบทบาทที่น้อยและมาเป็นมุกตลกมากกว่าในไม่กี่ฉาก ก่อนจะมีฉากแบบเอ็มวีและโผล่มาเป็นองค์ประกอบเล็ก ๆ ในเรื่อง ทำให้การมาของเธอไม่โดดเด่นเท่าเพลงประกอบที่จิกกัดสังคมและเพลงรักเศร้าเคล้าน้ำตา ส่วนในโปรดักชั่นถือว่ายิ่งใหญ่ไม่ไก่กาเลยสักนิด ทั้งซีจีและดนตรีประกอบยังช่วยเร้าอารมณ์ได้มากกว่าการตัดต่อและการถ่ายทำที่ตามมาตรฐานหนังเน็ตฟลิกซ์จริง ๆ

Don’t Look Up เป็นภาพยนตร์รวมดาวฮอลลีวู้ด เหมาะสำหรับคนอยากดูการแสดงของดาราคับคั่งที่คุ้นหน้าและคอนเซปต์ที่ดูมีของ ทะเยอทะยานในการล้อเลียนวันสิ้นโลก แต่ไปไม่ได้แบบที่หวัง ด้วยการเล่าเรืองที่เอื่อยเฉื่อย การตัดต่อชวนหลับ ขาดรสชาติและดูชี้นำประเด็นทางสังคมจนหลงลืมการนำเสนอตัวละครที่ชัดเจนและเต็มไปด้วยฉากที่ไม่จำเป็นกับเรื่อง จริงอยู่ที่ประเด็นของเรื่องสังคมและการรักโลกอาจพอสื่อถึงผู้ชม แต่พอเนื้อเรื่องมันพอดูผ่านไปและดูแห้งแล้ง ไม่น่าตื่นเต้นหรือตลกเท่าที่ควร มันจึงไม่ทำงานทางอารมณ์ นอกจากหงุดหงิดไปกับการเสียดสีที่หนังทำให้กล้าพูดเลยว่า ถ้ารัฐบาลอเมริกาเป็นแบบในเรื่องจริง โลกก็ชิบหายเพราะการบริหารที่โอ๋คนรวย มองข้ามคนจน ก็ทำให้รู้สึกภาวนาให้รัฐบาลฉลาดกว่านี้จริง ๆ ถือว่าอย่าคาดหวังอะไรมาก อย่างน้อยหนังที่สามารถแสดงให้เห็นว่า เน็ตฟลิกซ์สามารถสร้างหนังไซไฟอเมริกันฟอร์มยักษ์ที่ดีกว่าสตูดิโอฉายโรงได้เหมือนกัน แต่ยังต้องปรับปรุงต่อไปอยู่ดี ถือเป็นงานที่คนที่ชอบการเสียดสีสังคมคงโดนใจ แต่สำหรับคนทั่วไป คงไม่ใช่ทางมากนัก หนังเรื่องนี้จัดอยู่ในเรต 18 บวก ผู้ชมอายุต่ำกว่าควรได้รับคำแนะนำจากคนอายุมากกว่า

ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์ 

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!