playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Love and Monsters ด้วยรักและสัตว์ประหลาด (ไม่สปอยล์)

สรุป

ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่แม้ลิขสิทธิ์จะเข้าไทยช้า แต่คุณภาพระดับหนังโรง ด้วยงานสร้าง งานภาพ การแสดง และประเด็นของตัวละครที่เข้าถึงง่าย และน่าสนใจ และครบรสไปด้วยความอบอุ่น ความระทึก และความโรแมนติก งาน CG มีความสวยงามไม่ลอย บทของตัวละครมีความโดดเด่นสำคัญและสมเหตุสมผล ดูได้กันทั้งครอบครัว จนเสียดายที่หนังไม่ได้เอาไปฉายในทุกโรงภาพยนตร์

Overall
8.5/10
8.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • เรื่องราวเข้าใจง่าย เดินเรื่องเร็ว ฉับไว แต่ทิ้งช่วงให้ได้เรียนรู้กับตัวละครเพื่ออินกับการดิ้นรนเอาชีวิตรอดของตัวละคร
  • บทและเอกลักษณ์ของตัวละครต่าง ๆ มีความน่าสนใจในทุกตัว ตั้งแต่คนยันสัตว์ประหลาด และมีพัฒนาการของตัวละคร
  • เปี่ยมประเด็นประเด็นเรื่องของความรัก ความเหงา และความเชื่อมั่นในตัวเอง และความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องอย่างอบอุ่น และคนเราย่อมเปลี่ยนแปลงตามเวลา
  • คุณภาพของเสียงกึกก้อง ไม่บิวท์ด้วยเพลง แต่บิวท์ด้วยสภาพแวดล้อมตอนสัตว์ประหลาดปรากฏตัว
  • งานสร้างและงานออกแบบทำออกมาได้ล้ำจินตนาการแต่มีความสมจริง ด้วยงบที่ไม่สูงมาก
  • นักแสดงทุกคนทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวได้สุดยอด โดยเฉพาะ ดีแลน โอ ไบรอัน ผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง กับ  น้องหมาในเรื่องที่น่ารักมาก ๆ ใครเป็นทาสหมาจะจุใจกับการแสดงและความแสนรู้ของน้องมาก ๆ
  • มีฉากลุ้นระทึกระดับหนังแอ็คชั่นฟอร์มใหญ่ และมีความสยองขวัญที่ชวนให้ติดตาม

Cons

  • องค์ท้ายเหมือนงบหมด ความระทึกไม่มีกลายเป็นหนังแอ็คชั่นทุนต่ำไปเลย
  • บางช่วงที่ตัวละครบางตัวปรากฏออกมานั้นสนุกมาก แต่จบไวไปหน่อย อยากให้ขยี้มากกว่านี้จะดีมาก ๆ
  • การพัฒนาของตัวละครเอก ค่อนข้างไวมาก จนแอบคิดว่าเพราะเป็นพระเอกหรือเปล่าเลยรอดมาได้
  • งบไม่มาก ฉากแอ็กชั่นไม่อลังการ สถานที่เดินเรื่องไม่เยอะ

เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์ (Love and Monsters) ภาพยนตร์แอ็คชั่นผจญภัยสัญชาติอเมริกัน กำกับโดย ไมเคิล แมตธิวส์ (Five Fingers for Marseilles) เขียนบทโดย ไบรอัน ดัฟฟิลด์ (Underwater, The Babysitter) และ แมตธิว โรบินสัน (Dora and the Lost City of Gold) โดยมีชอว์น เลวี (Stranger Things) ขึ้นแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ นำแสดงโดย ดีแลน โอ’ไบรอัน, เจสสิก้า เฮนวิค, ไมเคิล รูกเกอร์ และอาเรียนา กรีนบลาตต์ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดต้องฉายโรงเมื่อเดือนกุมภาปีก่อน แต่เพราะโควิดจึงต้องเลื่อนไปก่อนจะลงเอยด้วยการฉายในสตรีมมิ่งและโรงหนังอย่างจำกัดในเดือนตุลา ซึ่งเชื่อว่าถ้าใครมีบัญชีคงได้ดูกันแล้วแน่นอน แต่ตอนนี้ NETFLIX ทุ่มทุนซื้อมาฉายในเดือนเมษายนรับวันหยุดที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจากทุกสถาบันนักวิจารณ์และเข้าชิงรางวัล 93rd Academy Awards สาขา Best Visual Effects จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่ามันมีดีอะไร เพราะมันก็น่าจะเป็นหนังเก่าเมื่อปีก่อนแล้ว แต่ทำไมถึงมีความน่าสนใจ เลยต้องลองเปิดดู และผมจะมารีวิวให้ฟังกัน

 Love and Monsters (2020) on IMDb

“7 ปีหลังจากอสุรกายยักษ์ยืดโลกจนเหลือผู้รอดชีวิตเพียง 5 เปอร์เซนต์ของประชากร โจเอล ดอว์สัน (ดีแลน โอ’ไบรอัน) และมนุษย์คนอื่นๆ ต่างใช้ชีวิตหลบซ่อนอยู่ในใต้ดินแต่หลังจากที่เขาได้รับการติดต่อจาก เอมี (เจสสิก้า เฮนวิค) แฟนสาวของเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป 80 ไมล์ (140 กิโลเมตร) ในอาณานิคมแห่งหนึ่ง ด้วยความเหงาและความกลัวว่าจะกลายเป็นเหยื่อเหมือนเพื่อนร่วมกลุ่มที่ถูกจับกินในยามค่ำคืน โจเอลที่ไม่มีอะไรจะเสียจึงตัดสินใจออกเดินทางไปหาเธอแม้จะมีอันตรายรออยู่ข้างหน้า แต่เขาไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียว เพราะยังมีเจ้าหมาเพื่อนคู่ใจที่เหมือนจะมาเป็นผู้พิทักษ์โจเอลและสองผู้รอดชีวิตจอมเฮี้ยว (ไมเคิล รูกเกอร์ และอาเรียนา กรีนบลาตต์) ที่จะมาช่วยเขาประคับประคองให้เขาไปให้ถึงความรักที่เขาเฝ้ารอมานานแสนนาน การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นบทเรียนสำคัญที่จะทำให้เขามีความกล้าและไม่ยอมแพ้ และไม่ใช่คนอ่อนแออีกต่อไป”

อาจไม่ใช่ภาพยนตร์อลังการงานสร้าง แต่มีความดีงามในแบบฉบับของตัวเอง

ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ลงทุนเพียง 30 ล้านเหรียญ ความอลังการของเรื่องจึงออกมาแบบไม่ได้มีฉากทำลายล้างเวอร์วัง แต่ทดแทนด้วยพล็อตเรื่องที่เรียบง่ายแต่สะกิดใจ ด้วยการเล่าเรื่องที่ให้อารมณ์หนังเอาชีวิตรอดที่เปิดเรื่องอย่างรวดเร็ว ครบรสไปด้วยความตลก ความโรแมนติก มิตรภาพ และครอบครัว ซึ่งค่อย ๆ ถ่ายทอดออกมาอย่างละนิดละหน่อยออกมาได้อย่างลงตัว มีฉากลุ้นระทึกแบบหนังสยองขวัญที่คุณต้องเอาใจช่วยให้ตัวละครสามารถฝ่าฟันไปให้ถึงจุดหมาย จุดแยกดราม่าและปมของเรื่องที่ซึ้งกินใจ และทำลายความคาดหวังของตัวเอกและผู้ชม ในที่นี้ผมหมายถึงเราไม่สามารถคาดเดาพล็อตของเรื่องได้เลยว่าตัวเอกจะทำสำเร็จหรือไม่ ด้วยความที่ตัวเอกเป็นแค่คนธรรมดาที่พยายามเอาชีวิตรอด ไม่ใช่หน่วยปราบสัตว์ประหลาด  มีรายละเอียดในโลกที่ถูกเซ็ตให้กลายเป็นดินแดนของธรรมชาติ และคำพูดบางอย่างที่ต้องตั้งใจจับใจความให้ดี ถึงจะเข้าใจถึงมูลเหตุจูงใจของการกระทำของตัวละคร แต่เหมือนช่วงหลังงบจะหมด เพราะเป็นช่วงแอ็คชั่นที่ดูไม่เร้าใจเท่ากับที่ปูมาตลอดหนึ่งชั่วโมงครึ่ง ด้วยความที่หนังมีฉากการไล่ล่าและการหลบหนีของตัวเอกกับสัตว์ประหลาดที่จัดเต็มอย่างจุใจสมชื่อเรื่อง แต่พอเข้าองค์บทสรุปก็ดันยัดบทตัวละครร้าย ๆ สไตล์อเมริกันเข้ามาแย่งบทบาทและการจบเรื่องแบบสรุปรวดเร็วแบบที่คาดเดาได้ง่ายมาก ถึงแบบนั้นมันก็เป็นการเล่าเรื่องที่ดีเลยล่ะ สำหรับการเป็นภาพยนตร์เรตอายุ 13 ปีที่สามารถดูได้ทั้งครอบครัว ถ้าไม่ติดกับฉากมนุษย์ถูกฆ่าหรือสัตว์ประหลาดโดนกินแบบเลือดไม่สาดก็น่ากลัวพอสมควร

ตัวละครแต่ละตัวมีความน่าสนใจ ตั้งแต่มนุษย์ไปจนถึงสัตว์ประหลาด

ต้องชื่นชมการวางตัวละครที่ใส่เข้ามาได้อย่างถูกจังหวะนอกเหนือจากตัวละครเอก โจเอลที่เป็นผู้ชายธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีความเชื่อมั่นและใคร ๆ ก็มองว่าเขาอ่อนแอที่ต้องหยิบหน้าไม้เดินทางเพื่อตามหาความรักที่หลุดหายไป โดยไม่สนใจว่าใครจะมองว่าการกระทำของเขามันบ้า และเป็นการฆ่าตัวตาย แต่เขาก็จะไปเพราะเขาเชื่อว่ามันจะเป็นสิ่งที่เขารอคอย แม้เขาจะเป็นตัวละครขี้แพ้ แต่ถูกทดแทนด้วยความมีจิตใจดี และมีความมุ่งมั่นอยู่เสมอ ไม่ว่อกแว่กแม้ในช่วงแรกเขาจะยังไม่ค่อยเข้าใจโลกเท่าไหร่ แต่เพราะได้สองผู้รอดชีวิตที่สั่งสอนบทเรียนของเขา ทั้งลุงแก่ที่เชี่ยวชาญเรื่องสัตว์ประหลาด และเด็กสาวแก่แดดที่สอนเขาใช้หน้าไม้และผูกพันกัน ร่วมกับหมาจรจัดอย่างบอย ที่คอยเป็นผู้ช่วยและนำพาเข้าฝ่าฟันพวกสัตว์ประหลาดไป และมีการพัฒนาของตัวละครจากไอ้ขี้แพ้กลายเป็นคนเก่ง ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันไวไปหน่อย แต่เข้าใจว่าหนังต้องทำเวลา นอกจากนี้ เอมี่ ตัวเอกหญิงของเรื่องก็ยังมีความน่าสนใจเพราะเธอไม่ได้เป็นเพียงผู้หญิงที่อ่อนแอรอให้ใครมาช่วย มีความเป็นผู้นำ ยึดมั่นและต่อสู้เพื่อปกป้องทุกคน แม้จะมีข้อบกพร่องบ้าง ซึ่งส่วนผสมเหล่านี้ถูกหยิบมาเป็นช่วง ๆ จนบางครั้งก็แอบอยากให้บางช่วงของตัวละครนั้น ๆ มีความยาวเรื่องมากกว่านี้ แต่เข้าใจได้ว่ามันไม่ได้มีความสำคัญที่ต้องอยู่ตลอดทั้งเรื่อง ไหนจะสัตว์ประหลาดที่ทำออกมาได้น่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็มีชีวิตจิตใจ ที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านงานภาพสุดสมเหตุสมผล ในด้านแววตาและการเคลื่อนไหว ซึ่งทำให้เรารู้สึกอินว่า สัตว์ประหลาดพวกนี้มันกลายพันธุ์จริง ๆ และมันอาจจะไม่ได้มีแย่หรือต้องฆ่าไปหมดทุกตัวก็ได้

การแสดงและปมของตัวละคร

เดอะแบกของเรื่อง ขอยกให้ ดีแลน โอ ไบรอัน ผู้รับบท โจเอล ตัวเอกของเรื่องที่ต้องเผชิญทั้งปัญหาทางใจและสัตว์ประหลาด เขาถ่ายทอดอารมณ์ของคนที่เคว้งคว้าง หงอยเหงาและอ่อนแอได้ ทุกกิริยาท่าทางเวลาที่เขาเจอสัตว์ประหลาดเขาจะแสดงออกมาทั้งภาษากายและคำพูด พอเข้าฉากซีนดราม่าหรือซีนแอ็คชั่นเขาก็ทำได้ยอดเยี่ยม ทั้งในด้านปมของครอบครัวที่เขาต้องอยู่คนเดียวและปิดกั้นจากคนอื่น ปมของความรักที่ปักใจจนลืมมองไปถึงอนาคต ที่ดูแล้วก็ได้ลุ้นให้เขามีความสุขสักที ไหนจะต้องแสดงกับหมาที่ต้องเข้าฉากร่วมกับเขาให้ได้จังหวะและการคอยซัพพอร์ทกันให้เป็นธรรมชาติอีก เช่นเดียวกับ เจสสิก้า เฮนวิค ก็ยังสามารถแสดงซีนอารมณ์ได้อย่างกลมกลืนและแนบเนียน แถมเคมียังเข้ากับดีแลน ฉากดราม่าก็ส่งอารมณ์ถึงและเรารู้สึกได้ว่าเธอนั้นกำลังคิดอะไร แต่ถ้าขโมยซีนก็ต้องยกให้ ไมเคิล รูกเกอร์ และอาเรียนา กรีนบลาตต์ ที่เรียกได้ว่า มาได้แต่ได้มาก แม้ว่าจะออกฉากไม่ถึงครึ่งชั่วโมงแต่ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจและการแสดงที่อาจไม่ได้โชว์ของอะไรมาก แต่ก็เป็นธรรมชาติโดยเฉพาะหนูน้อยอาเรียนาที่สวมบทเด็กแก่แดดแต่ก็มีความเป็นเด็กผู้สูญเสียครอบครัวได้อย่างไม่มีขาดไม่มีเกิน ส่วนไมเคิล รูกเกอร์ก็มีแค่คำพูดนิ่ง ๆ เท่ ๆ ประสาพี่แก กลับรู้สึกอบอุ่นและมีความหวัง แม้จะมีจิกกัดตัวเอกตั้งแต่ต้นจนจบ แต่ก็เห็นได้ว่าเขาหวังดีกับโจเอลจริง ๆ

งานภาพและเสียงคุณภาพระดับหนังโรง

ด้วยความที่หนังถูกสร้างตั้งใจฉายในโรงภาพยนตร์ คุณภาพในด้านการถ่ายทำและงานภาพจึงออกมาดีมาก ๆ ทั้งแสง สี และสเปเชี่ยลเอ็ฟเฟกต์ไม่มีคำว่าลอยจนน่าเกลียด แต่ก็ไม่ได้สมจริงมีรายละเอียดอะไรขนาดนั้น แต่ถือว่าสมเหตุสมผลกับโลกในหนังที่ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมากมาย ไม่แปลกว่าทำไมถึงได้รับการเข้าชิงรางวัลงานภาพยอดเยี่ยม เพราะมันดีจริง ๆ มีมุมกล้องหลายแบบที่ให้อารมณ์ลุ้นระทึก อารมณ์เศร้า และอารมณ์สนุกสนานที่โคลสอัพตามสถานการณ์อย่างดีเยี่ยม ในด้านดนตรีแอบผิดคาดที่ไม่ได้มีเพลงอะไรประกอบมากมายนอกจากฉากสัตว์ประหลาด ก็ไม่ได้มีเพลงแทรกดัง ๆ เก่า ๆ ที่หนังสมัยนี้ใส่เข้ามาให้รู้สึกอินไปพร้อม ๆ ตัวละครมากเท่าที่ควร แต่ก็ช่วยส่งเสริมเหตุการณ์ในสิ่งที่ตัวละครกำลังต้องเผชิญอย่างพอดิบพอดี คงเพราะอารมณ์ของเรื่องมันค่อนข้างต้องสมจริงและโฟกัสที่การเอาชีวิตรอดทำให้เสียงส่วนใหญ่จะเป็นเสียงสภาพแวดล้อมซะมากกว่า

ควรชมหรือข้าม

ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดที่มาถูกที่ถูกเวลาสำหรับช่วงเวลากักตัวและสงกรานต์ในปีนี้ อาจจะช้าไปหน่อย แต่ในที่สุดคนไทยก็จะได้ดูหนังแอ็คชั่นมัน ๆ ที่ดูได้ทุกเพศทุกวัยสักที ด้วยความที่หนังใส่ใจในรายละเอียดของตัวละคร เสียง งานภาพ ที่อาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่คงเน้นคติสอนใจในเรื่องของความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และการล้มแล้วลุกขึ้นเพื่อต่อสู้กับอุปสรรค ความรักที่ผลักดันให้คนเราทำสิ่งบ้า ๆ พล็อตเรื่องธรรมดาที่สามารถทำออกมาได้อย่างกลมกล่อม นี่จึงเป็นหนังที่ไม่ควรข้ามอย่างยิ่ง บางทีก็คิดว่าถ้าไม่มีโควิด มันจะต้องเป็นหนังที่ดีในทางด้านของรายได้และคำวิจารณ์ควบคู่กันไปแน่ ๆ น่าเสียดายจริง ๆ ที่ต้องมาลงสตรีมมิ่ง แต่ยังไงก็เป็นกำไรของคนที่มีเน็ตฟลิกซ์ที่จะได้ดูหนังคุณภาพที่เน็ตฟลิกซ์ไม่ได้เป็นคนสร้างแต่ซื้อมาฉายให้ดูแบบคุณภาพ โดยหนังมีเพียงแค่เสียงอังกฤษกับซับไทยเท่านั้น ซึ่งก็แปลออกมาได้ดี แม้จะรู้สึกว่าสรรพนามในเรื่องระหว่างตัวเอกมันจะค่อนข้างทางการไปหน่อย แต่ยังไงก็ดูรู้เรื่องเข้าใจแน่นอนครับ อย่าลืมไปหามาดูกันนะ

ตัวอย่างล่าสุด เลิฟ แอนด์ มอนสเตอร์ (Love and Monsters)

สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!