playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Forgotten Battle หนังสงครามแสนเจ็บปวดของเน็ตฟลิกซ์ (ไม่สปอยล์)

สรุป

ภาพยนตร์ที่บอกเล่าชีวิตอันน่าสะเทือนใจของสามหนุ่มสาว สามชีวิตในเหตุการณ์ปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างตรงไปตรงมา และยากจะลืมเลือน ด้วยการแสดงที่เป็นธรรมชาติ บทของเรื่องที่ร้อยเรียงให้หนังความยาวกว่าสองชั่วโมงมีความหมายและประวัติศาสตร์อย่างไม่น่าเบื่อ ด้วยโปรดักชั่นที่จัดเต็มไม่หวือหวาและการถ่ายทำที่สวยในทุกเฟรม และเต็มไปด้วยความคาดไม่ถึง แม้บทสรุปจะค่อนข้างสูตรสำเร็จตามฉบับหนังสร้างจากเรื่องจริงในสงคราม และเน้นดราม่าของตัวละครมากกว่าฉากหลังสงครามใหญ่ก็ตาม

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
5 (1 vote)

Pros

  • การเล่าเรื่องเชื่อมโยงตัวละครอย่างลงตัว ชวนติดตาม
  • การแสดงของนักแสดงที่เป็นธรรมชาติทุกคน
  • การนำเสนอมุมมองใหม่ของคนนอกในสนามรบ
  • โปรดักชั่นจัดเต็มและมุมกล้องที่ดีในทุกฉาก
  • เพลงประกอบที่เร้าอารมณ์
  • ดิ่งไปกับความโหดร้ายที่หนังสาดให้แบบไม่ยั้งมือ
  • สะท้อนความโหดร้ายที่คนในสงครามในทุกฝ่ายต้องเจอ

Cons

  • บทสรุปสูตรสำเร็จ คาดเดาง่าย เพราะสร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์
  • หนังเป็นดราม่าในเหตุการณ์สงคราม ทำให้ใครคาดหวังฉากสงครามตูมตามเยอะ ๆ ในเรื่อง อาจจะผิดหวัง

The Forgotten Battle (สงครามที่ถูกลืม) ภาพยนตร์ดราม่าสงครามสัญชาติดัตช์ (เนเธอร์แลนด์) สะเทือนอารมณ์ที่สร้างมาเพื่อผลประโยชน์ในการปลุกใจของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ปี 2020 ในการหยิบนำประวัติศาสตร์อันโหดร้ายในช่วงก่อนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1944 ช่วงเวลาที่แสนสิ้นหวังที่ยากจะลืมเลือนที่ทุกคนในตอนนั้น ต่างทำทุกอย่างเพื่อเป้าหมายและการมีชีวิตรอดของตัวเอง จากผลงานของผู้กำกับ Matthijs van Heijningen Jr. ที่เคยฝากผลงานมฤตยูอสูรใต้โลกใน The Thing พร้อมการแสดงนำร่วมของ ทอม เฟลตัน เจ้าของบท เดรโก มัลฟอย ที่โด่งดังจากแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ และดารานำจากยุโรปสองสัญชาติ โดยภาพยนตร์ได้รับคำวิจารณ์สูงมากจากหลายสำนักวิจารณ์  ก่อนหนังจะถูกซื้อมาฉายในเน็ตฟลิกซ์ มีแค่ซับไทยเท่านั้น

 The Forgotten Battle (2020) on IMDb

ตัวอย่าง The Forgotten Battle (สงครามที่ถูกลืม)

รีวิว The Forgotten Battle (สงครามที่ถูกลืม)

เรื่องราวของสามชีวิต สามเชื้อชาติยุโรป ในปี 1944 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ระหว่างฝ่ายสัมพันธมิตรและอักษะ ก่อนหน้าเหตุการณ์สำคัญที่พลิกประวัติศาสตร์โลกผ่านตัวละครเทิน หญิงสาวชาวดัตช์ที่ทำงานเป็นข้าราชการในเมืองที่กำลังถูกปกครองโดยกองทัพนาซีและคาดหวังให้อนาคตที่จะได้อิสรภาพคืนมา กระทั่งน้องชายของเธอได้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวที่ร้ายแรงและทำให้เธอต้องตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง วิลเลี่ยม ชายหนุ่มลูกคนใหญ่คนโตชาวอังกฤษที่อยากเข้าร่วมสงครามเพื่อจะได้มีชื่อและเป็นฮีโร่โดยมีโทนี่ ผู้บังคับบัญชาคอยห้ามปรามและคอยดูแล กระทั่งการเดินทางไปยังสนามรบผิดพลาดและเปลี่ยนเขาจากการเป็นวีรบุรุษกลายเป็นการเอาชีวิตรอดจากกองทัพนาซี และคนสุดท้าย มารินัส ชายที่หันหลังให้กับครอบครัวเพื่อมาเป็นทหารฝั่งนาซีที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อมีชีวิตอยู่ในยามที่ทุกอย่างดูสิ้นหวัง ทั้งสามชีวิตไม่รู้ตัวเลยว่า ชีวิตของพวกเขาจะถูกร้อยเรียงและพันผูกไปสู่บทสรุปอันน่าสลดและสะเทือนใจที่ถูกทำให้ลืมเลือนหายจากโลกใบนี้

แม้เรื่องราวจะเล่าผ่านประวัติศาสตร์ที่เล่าถึงเหตุการณ์สงครามจริง ยุทธการที่แม่น้ำสเกลต์ แต่หนังกลับไม่ได้เล่าเรื่องสงครามที่ยิ่งใหญ่อย่างที่เราเข้าใจ แต่เป็นชีวิตดราม่าของตัวละครสมมติทั้งสามคนที่ต่างเป็นตัวเอกของเรื่องราวตัวเอง และปะทะกันในแง่ของอุดมการณ์ที่เป็นเหตุผลของชื่อเรื่อง ก่อนที่หนังจะพาเราไปพบกับเรื่องราวความโหดร้ายในสายตาของพวกเขา ความสูญเสีย ความเจ็บปวด ความหวาดกลัว ความสิ้นหวังที่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนไปตลอดกาล และเป็นมุมมองของชาวยุโรปที่เราไม่ค่อยได้เห็นมากนักในภาพยนตร์สงครามที่ชอบเน้นเรื่องราวของอเมริกาหรืออังกฤษ แต่เรื่องนี้จะกระจายบทให้เห็นชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาที่ไม่ได้สนใจ ต่างเห็นแก่ตัว เพื่อครอบครัว เพื่อตัวเอง จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องทำในสิ่งที่ตัวเองไม่เคยทำ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อแก้แค้น เพื่อมีชีวิตรอด เพื่อพิสูจน์ตัวเอง

หนังจะเล่าชีวิตความดราม่าที่ค่อนข้างหดหู่ บีบคั้น กดดัน ไร้ความหวังโดยเฉพาะช่วงกลางเรื่อง ไม่มีเรื่องของความโชคดี มีแค่ชีวิตที่ไม่แน่นอน ความทรงเกียรติและฉากหลังของผู้คนในช่วงสงคราม ก่อนที่ช่วงท้ายจะกลายเป็นหนังผจญภัยเอาชีวิตรอดเล็ก ๆ พร้อมไคลแม็กซ์สั้น ๆที่ยิ่งใหญ่ในฉากการต่อสู้ในสงครามที่ไม่ได้เวอร์วัง แต่ก็ทรงพลังในแบบของหนังดราม่าที่ยังคงไว้ซึ่งประเด็นที่ชัดเจนตรงไปตรงมา ไม่มีกั๊ก ไม่ลังเลเหมือนตัวละครในหนัง จนทำให้อาจทนไม่ได้ เพราะความรุนแรงและสะเทือนขวัญ และบทสรุปที่สูตรสำเร็จเพราะเรารู้ว่าสงครามจบลงอย่างไร ซึ่งทำให้เราเข้าใจเลยว่า บางครั้งชีวิตที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน อาจจะมีชะตากรรมให้ร่วมเผชิญหน้าฝ่าฟันกับอุปสรรคได้อย่างคาดไม่ถึงเลย

ตัวละครของเรื่องมีตั้งแต่ขาวจนไปถึงเทาดำ ๆ นอกจากพวกทหารที่เป็นเหมือนตัวละครสมทบ ก็คงจะมีเทิน ตัวละครเอกสาวชาวดัตช์ จังหวัดเซลันด์ ที่เป็นเหมือนใจกลางสำคัญของเรื่องราวเพราะเป็นคนที่อยู่ในสถานการณ์ ที่สนใจแค่การทำให้ครอบครัวปลอดภัยจากการถูกคุกคาม จนยอมละทิ้งได้แม้กระทั่งชีวิตคนบริสุทธิ์ ตัวละครนี้จะค่อนข้างฉลาด และเก็บอารมณ์เก่ง แต่พอถึงเวลาที่ทนไม่ไหวเธอก็น่าสงสารเอามาก ๆ และทำให้เราอยากรู้ว่าชีวิตของผู้หญิงคนนี้ในสงครามจะเป็นอย่างไร เธอจะรอดจากการไล่ล่าได้มั้ย วิลเลี่ยม หนุ่มอังกฤษมาดกวนที่มั่นใจในตัวเอง ไม่กลัวที่จะตายในสงครามเพราะเชื่อว่าตัวเองมีฝีมือมากพอ และมีเส้นสายเป็นลูกของคนใหญ่คนโต แต่เมื่อเขาต้องพบเจอกับสถานการณ์จริง เขากลับต้องตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตที่ทำให้เขากลายเป็นทหารอย่างแท้จริง ที่พร้อมจะดิ้นรน และยอมรับความโหดร้ายของสงคราม และปล่อยวางกับทุกสิ่งอย่าง แม้ว่าจะต้องสูญเสียอะไรไปมากแค่ไหนก็ตาม และคนสุดท้าย มารินัส ที่เป็นตัวละครที่น่าสนใจที่สุด เพราะเขาไม่ได้เป็นตัวละครประเภททหารที่สู้เพื่อความถูกต้อง แต่ใช้ชีวิตเพื่อการอยู่รอด ยอมละทิ้งคนอื่นเพื่อให้ตัวเองมีชีวิต ทำทุกอย่างตามคำสั่ง แม้แต่สังหารคน จนกระทั่งเวลาผ่านไป เขาก็ได้เห็นถึงความโหดร้ายที่แท้จริงในสงคราม แต่ก็ยังลำบากใจที่จะละทิ้งความสบายเพื่อสิ่งในถูกต้อง ซึ่งตัวละครนี้บทอาจจะน้อยที่สุดแต่ก็ทำให้เห็นความเป็นมนุษย์ที่เห็นแก่ตัวจนหลุดพ้นได้ดีเลยทีเดียว ทุกตัวละครที่เหลือต่างก็มีแรงจูงใจและแรงผลักดันในการทำทั้งในสิ่งที่ดีและไม่ดี แต่นั่นเพราะพวกเขาเชื่อแบบนั้น และมันก็ทำให้ชีวิตพวกเขาต้องได้เจอบทเรียนที่ยากจะลืมเลือนทั้งนั้น

ประเด็นสำคัญจริง ๆ เลยของเรื่องนี้ เราเป็นมนุษย์ แต่ทำไมยังหยิบปืนมายิงเพื่อดินแดน สงครามมันก่อให้เกิดผลดีอะไร นอกจากการได้ยึดครองแผ่นดินเพิ่มเพื่อทรัพยากร ความสูญเสียและความอาฆาตแค้นไม่มีสิ้นสุด แทนที่จะช่วยเหลือกัน หาทางประนีประนอม แต่มนุษย์ก็เลือกจะทำสงครามเพื่อให้ได้มาในศักดิ์ศรีและสิ่งที่ต้องการจนสุดท้ายก็กลายเป็นไฟที่รุกราวชีวิตของประชาชนคนบริสุทธิ์ที่พยายามจะดิ้นรนให้พ้นจากวังวนไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตาม บางคนมีชีวิตรอดจนมองเห็นอนาคต บางคนถูกทำลายหายทั้งที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย แต่เพราะเป็นคำสั่งในสงครามเลยต้องทำ สะท้อนให้เห็นความชั่วร้ายของมนุษย์ที่เป็นไปแบบสุดขั้ว แต่ก็ยังมีความตระหนักรู้อยู่บ้าง ว่าเราหยิบปืนของตัวเองเล็งเข้าหากัน มองสายตาอีกฝ่ายที่อยากมีชีวิตและใจจริงที่ไม่ได้อยากฆ่าอีกฝ่าย แต่เพื่อเอาชีวิตรอด แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวสมมติที่สร้างจากประวัติศาสตร์ แต่มันก็ทำให้เห็นภาพชัดถึงความชั่วร้ายที่เกิดขึ้นจากสงคราม ที่คนในเหตุการณ์อยากลืมมากแค่ไหนก็ยังจดจำ ส่วนโลกก็ไม่เคยใส่ใจไยดี เพราะถูกหลอมรวมกับประวัติศาสตร์โลก ถูกหลงลืมไป เหลือไว้แต่บันทึกที่บอกเล่าให้เห็นว่าเมื่อในอดีต มนุษย์เคยโหดร้ายด้วยกันมากขนาดไหน

เรื่องนักแสดงเป็นธรรมชาติหมดทุกคน โดยเฉพาะ ซูซาน แรดเดอร์ ที่ทั้งสวยน่ารักและน่าสงสารในบทเทิน ตัวละครหลักที่เป็นตัวแทนพาคนดูไปเห็นการดิ้นรนและความฉลาดในการเอาชีวิตรอดของเธอตั้งแต่ต้นจนจบสงคราม ไหนจะซีนอารมณ์ที่ต้องเล่นกับความกลัวและความสับสนในตัวเอง ซีนที่เธอใจสลายจนร้องไห้ออกมาดัง ๆ นั้นตราตรึงมาก เจมี่ แฟลตเทอร์ส น่าจะเป็นนักแสดงน้องใหม่ที่บทอาจจะไม่ได้โชว์อะไรมากเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีเสน่ห์ของความเป็นหนุ่มกวนในสงคราม แต่พอต้องเจอการสูญเสีย เขาก็แสดงให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของตัวละคร และฉากอารมณ์ที่เขาต้องเล่นก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน ไฌจ์ส บลูม ตัวแทนของคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามที่เป็นหนุ่มแหย ๆ ไร้ชีวิตและทำตามคำสั่งทุกอย่างเพื่อสงคราม ตัวละครเขาไม่มีความลังเล และเดินหน้าทำผิดอย่างไม่น่าอภัย แต่ในช่วงสุดท้าย เขาทำให้ผมร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าและเวทนาถึงสิ่งที่เขาต้องพบเจอ

ในขณะที่ทอม เฟลตัน แม้บทอาจจะมีแค่ในช่วงต้นชั่วโมงแรก แต่ก็ไม่ทำให้ผิดหวังในการรับบทผู้นำที่พยายามจะเอาชีวิตรอดร่วมกับผองเพื่อนทหารพร้อมด้วยมุกตลกเบา ๆ และเคมีความเป็นเพื่อนก็เข้ากันได้ดีกับเจมี่ แฟลตเทอร์สด้วยทำให้เราได้เห็นความคาดไม่ถึงในเรื่องราวที่มาแบบไม่ทันตั้งตัวเลย ซีนอารมณ์ก็กินขาดไม่แพ้คนอื่น ๆ ส่วนนักแสดงที่เหลือก็มีฉากออกมาประปรายไม่มีอะไรมาก แต่ก็ทำหน้าที่ได้ดีหมด และทำให้เข้ากับโปรดักชั่นการเซ็ตฉากในยุค 44 ที่แสนโหดร้ายด้วยกลิ่นดินปืนและซากปรักหักพังและเต็มไปด้วยน้ำเจิ่งนอง การถ่ายทำที่ถ่ายทำออกมาได้สวยในทุกเฟรม มุมกว้างในเวทีสงคราม มุมแคบของเมืองเล็ก ๆ ก็ยังดูดี สมจริงและโทนหม่นหมองเข้ากับเรื่องราว ส่วนเพลงประกอบก็มีไม่มาก แต่ออกมาทีก็สะเทือนอารมณ์ใช้ได้ครับ

สรุป

สงครามที่ถูกลืม คือเรื่องราวแยกในสงครามที่ไม่ได้เล่าจากกองทัพทหาร แต่เล่าถึงชีวิตของมนุษย์ในช่วงสงครามที่พวกเขาต้องกระทำและตัดสินใจไม่แพ้กับทหาร ร้อยเรียงสามเรื่องราวอันเจ็บปวดของสามตัวละครอย่างลงตัวและเห็นภาพประเด็นชัดเจนถึงความโหดร้ายของสงคราม และความโฉดชั่วของนาซี ผ่านเลนส์ภาพที่สวยงามที่สะท้อนถึงความเจ็บปวดและทรมานผ่านการแสดงที่เป็นธรรมชาติ แต่ด้วยความที่หนังเน้นดราม่าและบทสรุปที่สูตรสำเร็จก็เลยทำให้มันไม่ได้เป็นหนังที่สุดยอดเยี่ยมขนาดนั้น แต่ก็ยังเป็นหนังที่ดีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำให้สายคนชอบดูหนังสงครามและอยากเห็นมุมมองสมมติในอีกมุมหนึ่ง ช่วงนั้นที่เต็มไปด้วยความทรมานและชะตากรรมอันน่าสลด ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องจริงหรือเป็นภาพรวมของสงครามแต่ก็ยังน่าสนใจพอให้ดูศึกษา ผมก็ขอแนะนำเลย แต่ต้องเตือนว่า เนื้อเรื่องสะเทือนใจพอสมควร มีฉากยิงเลือดสาด และการฆ่าตัวตายแบบเห็นภาพเต็ม ๆ คงไม่แนะนำให้เด็กหรือเยาวชนดูคนเดียวนะครับ

ชมได้แล้ววันนี้ใน เน็ตฟลิกซ์ 

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!