playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Mitchells vs. the Machines บ้านฉันฟัดจักรกล (ไม่สปอยล์)

สรุป

อนิเมชั่นม้ามืดประจำปีจากโซนี่ หยิบนำความสัมพันธ์ของครอบครัวและการยอมรับในความแตกต่างของตัวเอง ผสมผสานกับความแอ็คชั่นไซไฟแบบสไตล์หนังวันสิ้นโลกอย่างลงตัว ครบทุกรสชาติทั้งตลกและซาบซึ้ง งานภาพอาร์ตแปลกแหวกแนว ดนตรีประกอบเรื่องนั้นหลากหลายและบิวต์อารมณ์ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ อิ่มใจกันทั้งครอบครัว

Overall
9/10
9/10
Sending
User Review
4 (2 votes)

Pros

  • งานภาพอนิเมชั่นทุนสูงที่ผสมผสานงาน 3 มิติ กับงานเขียนสีสไตล์การ์ตูน 2 มิติ
  • การเล่าเรื่องอย่างชาญฉลาด มุกตลกขำเกือบทุกมุก
  • เฉลี่ยบทตัวละครได้ครบ ไม่มีใครหายจากเรื่อง
  • เสียงพากย์ตัวละครทำได้ดี อินไปกับเรื่องราวได้ง่าย
  • เก็บทุกประเด็นในสังคมทั้งครอบครัว เทคโนโลยี ความฝันและการยอมรับในตัวเอง
  • ดนตรีประกอบมีความแปลกใหม่ หลากหลายสไตล์ไม่เหมือนใคร

Cons

  • ปมของตัวร้ายไม่น่าสนใจ

บ้านมิตเชลล์ ปะทะ จักรกล (The Mitchells vs. the Machines) ภาพยนตร์อนิเมชั่นฟอร์มยักษ์จากโซนี่ กำกับและเขียนบทโดย ไมเคิล ริอันด้า (Michael Rianda) ผู้เคยฝากผลงานอนิเมชั่นยอดเยี่ยมทางโทรทัศน์อย่าง แกร์วิตี้ฟอล (Gravity Falls) ขึ้นแท่นกำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวเป็นครั้งแรก โดยมี ฟิล ลอร์ด และ คริส มิลเลอร์ นั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ควบคุมงานที่เคยฝากผลงานอนิเมชั่นของค่ายเดียวกันอย่าง มหัศจรรย์ลูกชิ้นตกทะลุมิติ (Cloudy with a Chance of Meatballs) และโปรดิวเซอร์งานชนะรางวัลออสการ์อย่าง สไปเดอร์-แมน: ผงาดสู่จักรวาล-แมงมุม (Spider-Man: Into the Spider-Verse) พร้อมได้เสียงพากย์โดยนักแสดงอย่าง แดนนี แมคไบรด์, แอ็บบี้ เจค็อบสัน, มายา รูดอล์ฟ และนักแสดงหญิงผู้ได้รางวัลออสการ์จาก เดอะ เฟฟเวอริท อีเสน่ห์ร้าย อย่าง โอลิเวีย โคลแมน โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีกำหนดต้องฉายโรงเมื่อเดือนกันยาปีก่อนในชื่อ CONNECTED แต่เพราะโควิดจึงต้องเลื่อนไปก่อนจะลงเอยด้วยการที่ NETFLIX ทุ่มทุนซื้อมาฉายในเดือนเมษายนรับวันหยุดที่สุด โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามโดยสื่อจากต่างประเทศ ในเมื่อมันเข้ามาถึงประเทศไทยที่มีพร้อมทั้งเสียงไทยเต็มรูปแบบ บางทีนี่อาจจะเป็นม้ามืดอีกเรื่องของโซนี่เลยก็ได้ เพราะฉะนั้นเรามาอ่านเรื่องย่อกันก่อนเลย

 The Mitchells vs. the Machines (2021) on IMDb

บ้านมิตเชลล์ดูเผิน ๆ นั้นอาจจะเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาแถมเพี้ยนสุดกู่ ไม่มีอะไรที่ดูดีเลยสักอย่าง แม้แต่คนในครอบครัวยังไม่กล้าหันหน้าเข้าหากัน แต่เมื่อทริปของบ้านมิตเชลล์สู่มหาวิทยาลัยภาพยนตร์ของลูกสาวคนโตอย่าง เคที่ ต้องจบลงอย่างกะทันหัน เมื่อเกิดหายนะขึ้นจากเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเกินกว่าที่มนุษย์จะควบคุม ครอบครัวที่มีรอยห่างระหว่างความสัมพันธ์จึงต้องจับมือกันฟันฝ่าวิกฤตที่ใหญ่ที่สุดที่พวกเขาเจอมาให้ได้ ก่อนที่โลกทั้งใบจะถูกจักรกลยึดครองจนไม่เหลือซาก ปัญหาสำคัญคือ พวกเขาทั้งห่วยและไม่มีอะไรที่เข้าข่ายการเป็นฮีโร่เลยสักนิด แผนการที่ไม่มีความรัดกุมจึงนำมาซึ่งเรื่องราวสุดประทับใจที่จะเป็นบทเรียนสำคัญที่จะเชื่อมตัวให้ครอบครัวที่ห่างเหินกลับมารวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง แม้จะเป็นท่ามกลางหายนะวันจักรกลยึดโลกก็ตาม”

ส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างหนังครอบครัวอบอุ่นหัวใจกับหนังไซไฟวันสิ้นโลก

อนิเมชั่นเรื่องนี้มีความโดดเด่นมากตรงการเล่าเรื่องที่แบ่งสัดส่วนออกอย่างลงตัว โดยในช่วงแรกหนังจะใช้เวลาปูตัวละครต่าง ๆ  ใส่ปมความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ เป็นระยะ พร้อมทั้งผลักดันประเด็นความสำคัญของเทคโนโลยีเข้ามาเล่าแบบแทรก ๆ ยังไม่ใช่ประเด็นหลัก แต่ก็มีฉากให้เศร้าใจ น้ำตารื้นพอ ๆ กับประเด็นของครอบครัวที่อาจจะยังไม่คลี่คลาย ก่อนที่หนังจะเปลี่ยนตัวเองเป็นหนังแนวโร้ดทริปสไตล์ขับรถไปตามที่ต่าง ๆ และมีการใส่ฉากความสัมพันธ์ของครอบครัวแบบที่เห็นกันอย่างชัด ๆ ซึ่งช่วงนี้จะยังไม่ค่อยมีอะไรมาก กระทั่งหนังจะปาฉากไซไฟสุดอลังที่ไม่มีให้เห็นในตัวอย่างมาเริ่มเดินเรื่องอย่างรวดเร็ว เมื่อตัวละครต้องพยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอด กลายเป็นหนังแบบวันสิ้นโลก แต่ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นของครอบครัว อีกทั้งยังรักษามุกตลกที่ใส่มาอย่างถูกจังหวะที่บางครั้งตอนดูก็ไม่ได้คิดว่าจะขำ แต่ก็ขำออกมาได้หลายฉาก อาจเพราะจังหวะจะโคนของเรื่องราวมันมีความตลกบนความจริงจัง เมื่อหนังต้องการให้เรารู้สึกตามตัวละครนั้น ๆ ซึ่งผมมองว่านี่เป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในอนิเมชั่นดิสนีย์ที่ผมมองว่าพยายามโฟกัสประเด็นหนึ่งจนดูเป็นอนิเมชั่นสำเร็จรูป แต่มันมีเอกลักษณ์การเล่าเรื่องของตัวเองเป็นแบบที่ว่า ถ้าตอนแรกอนิเมชั่นเรื่องนี้ตั้งใจทำเป็นหนังเวอร์ชั่นคนแสดงก็ไม่มีอะไรกังขาเลย เพราะพล็อตกับส่วนผสมมันลงตัวมากตั้งแต่ต้นจนจบ

ตัวละครมีซีนเป็นของตัวเอง และเฉลี่ยบทตัวละครดี

ตอนที่เห็นตัวอย่าง ผมนึกมาตลอดว่าจะได้เห็นแค่ปมความสัมพันธ์ระหว่างเคที่กับพ่อของเธอ ริค แต่จริง ๆ มันมีประเด็นของตัวละครครอบครัวแต่ละคนด้วย  ทั้งลินดา แม่ที่ไม่กล้ามีปากเสียงกับสามี และทำทุกอย่างแบบขอไปที ทั้งแอรอน น้องชายคนเล็กที่มีนิสัยแปลกและมีความรู้ในด้านวิทยาศาสตร์ และแต่ละคนก็จะมีซีนเด่นประจำตัวและเป็นประโยชน์กับเรื่องราว แม้แต่จักรกลเองก็มีประเด็นที่น่าสนใจที่ทำให้มันไม่ได้เป็นแค่ตัวร้ายแต่ยังสะท้อนถึงปัญหาสังคมปัจจุบัน ซึ่งผมก็พยายามจะไม่บอกว่าซีนเหล่านี้คืออะไร แต่บอกได้เลยว่าจะได้เห็นอะไรแบบนี้คอยเซอร์ไพรส์ในเรื่องตลอด และหนังก็สามารถเก็บประเด็นเหล่านี้ครบถ้วนไม่มีขาดตกบกพร่อง ว่าง่าย ๆ คือมันเจาะลึกไปถึงปมตัวละครที่มากกว่าในตัวอย่างเยอะ บางครั้งก็เชื่อมโยงกับสิ่งของในเรื่อง หรือแม้แต่ในวิดีโอ ซึ่งมันน่าสนใจตรงที่อนิเมชั่นนี้ไม่ได้มาจากค่ายดิสนีย์ และมันทำให้เกิดความแปลกใหม่ เมื่อเทียบกับผมที่รู้สึกผิดหวังกับดิสนีย์ที่เดี๋ยวนี้ทำอนิเมชั่นเฉลี่ยบทตัวละครไม่ค่อยดี หรือเน้นไปที่ตัวละครใดตัวละครหนึ่งมากเกินไป อาจเป็นเพราะตัวละครหลักสำคัญคือครอบครัวมิตเชลล์ด้วยละมั้งที่ทำให้หนังสามารถเฉลี่ยความสำคัญของตัวละครครอบครัวอย่างเท่าเทียมกันจนสามารถทำให้องค์ประกอบของเรื่องมีชีวิตชีวา และลุ้นว่าจะสามารถทำภารกิจพิทักษ์โลกสำเร็จหรือไม่ ด้วยความที่พวกเขาไม่ใช่คนเก่งกาจมีความสามารถแบบที่ตัวละครในหนังแนวนี้มี แต่เป็นคนธรรมดาที่พยายามประคับประคองครอบครัว 

ประเด็นสำคัญของเรื่องที่มีเข้ากับสังคมสมัยใหม่

ปมของตัวละครในเรื่องนี้ถูกเฉลี่ยกันหลายเรื่องเลย นับตั้งแต่ เรื่องแรก ความฝันและความชอบในสิ่งที่ทำ โดยเฉพาะเคที่ ที่ตลอดชีวิตเธอเจอสิ่งที่ตัวเองชอบแต่กลับไม่ได้รับความชื่นชมจากครอบครัวจนค่อย ๆ ผลักให้เธอหนีห่างจากครอบครัวโดยเฉพาะ ริค พ่อของเธอไปเรื่อย ๆ จนตัดสินใจจะไปจากครอบครัว ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องโลกถูกจักรกลเข้ายึดครอง เธอจึงต้องจำใจทำเป็นว่าเธอชอบในสิ่งที่ครอบครัวชอบก่อนที่มันจะย้อนกลับมาทำร้ายเธอและครอบครัวภายหลัง เรื่องสอง ความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่ที่คอยเสนอทุกอย่างให้ลูกโดยเชื่อว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่ตัวเองมีให้ จนลืมฟังเสียงของกันและกัน เรื่องสาม ครอบครัวที่อิจฉาครอบครัวอื่นว่าดีกว่าตัวเองก่อนจะได้เรียนรู้ว่าความไม่เหมือนใครอื่นนี่แหละที่ทำให้พวกเขาวิเศษ เรื่องสี่ การให้เห็นผลร้ายของเทคโนโลยีที่มีผลกระทบทั้งในทางที่ดีและไม่ดี เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาตัวเองขึ้นมาและมนุษย์ทอดทิ้งสิ่งที่ตัวเองมี มนุษย์จะต้องรับผลอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น มนุษย์ใช้ชีวิตโดยหวังพึ่งจักรกลเป็นเหมือนผู้ช่วยจนลืมมองความสัมพันธ์จริง ๆ ของมนุษย์ที่ต้องการความเข้าใจและพึ่งพาอาศัยกัน และครอบครัวมิตเชลล์จึงเป็นภาพสะท้อนที่ว่า หากครอบครัวมีความสามัคคีเชื่อมั่นในกันและกันไม่ว่าปัญหาจะเลวร้ายระดับโลกแค่ไหน พวกเขาก็จะผ่านมันไปจนได้อยู่ดี เสียอย่างเดียวคือปมตัวร้ายมันโต้ง ๆ แบน ๆ ไปหน่อย คิดว่ามันสามารถนำเสนอได้ดูน่าสะพรึงกว่านี้ แต่เพราะมันเป็นหนังครอบครัวจะให้ระดับไซไฟจ๋า ๆ เด็กก็คงไม่รู้เรื่องแน่นอน 

งานภาพแปลกแหวกแนว สีสันสดใส การเคลื่อนไหวตัวละครไม่เหมือนใคร

ความแปลกใหม่ที่หาไม่ได้จากอนิเมชั่นดัง ๆ คือความคิดสร้างสรรค์ที่ผู้สร้างรังสรรค์ให้ตัวละครไม่เหมือนใคร ไม่ใช่งาน 3D ที่ตัวละครต้องตาโตออกอินเนอร์โอเวอร์แอ็คติ้ง แต่ยังผสมผสานไปด้วยงานอาร์ตสไตล์วาดเขียนด้วยสีที่สอดแทรกเข้ามา แสง สีสันที่ฉูดฉาดตัดกับอารมณ์วันสิ้นโลก และเงาที่สมจริงราวกับเป็นภาพยนตร์คนแสดง ภาพสะท้อนต่าง ๆ ทำออกมามีเงาสะท้อน การเคลื่อนไหวของตัวละครก็เหมือนคนจริง ๆ จนน่ากลัว แถมยังมีฉากงานภาพสวย ๆ อีกมากมายที่สามารถแคปเป็นภาพวอลเปเปอร์อาร์ต ๆ อีกด้วยแน่นอนนี่คืออนิเมชั่นคุณภาพฉายโรงที่ถูกย่อลงมาที่เน็ตฟลิกซ์ เรียกได้ว่านึกถึงตอนดูงานระดับแบบ สไปเดอร์-แมน: ผงาดสู่จักรวาล-แมงมุม เลยทีเดียว งานดนตรีก็ไม่น้อยหน้าจัดเต็ม เสียงกระหึ่มรอบทิศทาง เพลงประกอบที่เข้ากับฉาก ทั้งเพลงแทรกสไตล์หนังครอบครัวที่สามารถบิวต์เราให้อินไปกับจังหวะของหนัง ทั้งสุขและเศร้า และดนตรีที่ชวนให้นึกถึงหนังหลายสไตล์ทั้งแบบซูเปอร์ฮีโร่ หรือแนวไซไฟ ซึ่งทำให้ดนตรีประกอบมีความหลากหลายและแหวกแนวไม่เหมือนใครมาก ยิ่งบวกกับเสียงพากย์ที่ถึงใจถึงอารมณ์มันยิ่งเสริมให้หนังดีมาก ๆ เลยทีเดียว 

ควรชมหรือข้าม

The Mitchells vs. the Machines
The Mitchells vs. the Machines

ผมสามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าถ้าคุณข้ามไม่ดูเรื่องนี้ คุณจะต้องเสียใจมาก ๆ ผมยกให้เป็นอนิเมชั่นยอดเยี่ยมประจำปี 2021 ที่ควรค่าแก่การรับชมอย่างแท้จริง ดูได้ทั้งครอบครัว ครบทุกรส ไอเดียสุดใหม่ในทุกฉาก มุกทันสมัยไม่มีตกยุค โซนี่ได้งานมาสเตอร์พีชอีกชิ้นต่อจากสไปเดอร์เวิร์สแล้ว องค์ประกอบในด้านงานภาพอนิเมชั่นที่แปลกใหม่ ตัวละครที่น่าสนใจ ดนตรีประกอบที่หลากหลาย ประเด็นครอบครัวที่สามารถเข้ากันได้กับแนวไซไฟ ผมว่าหลังจากนี้ไปอนิเมชั่นเรื่องนี้จะต้องได้รับการพูดถึง แม้ไม่ใช่ในประเทศไทยไทยก็ต้องเป็นในวงการต่างประเทศแน่นอน เพราะเท่าที่ไปดูกระแสมามีแต่คำชมมากมาย จนแอบเสียดายที่หนังไม่ได้ฉายในโรง ไม่งั้นมันจะมีความอลังการ ตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ แต่ยังไงก็เป็นกำไรของคนที่มีเน็ตฟลิกซ์มาก ๆ ยิ่งมีเสียงไทยแล้วก็อยากจะให้เน็ตฟลิกซ์โปรโมทมากกว่านี้จริง ๆ อย่าลืมไปหามาดูกันนะครับ ผมบอกได้อย่างเดียวว่างานชิงรางวัลอนิเมชั่นปีนี้ ดิสนีย์มีหนาวบ้างแล้วนะครับ

ตัวอย่างล่าสุด The Mitchells vs. the Machines บ้านมิตเชลล์ ปะทะ จักรกล

สามารถชมได้แล้วที่ NETFLIX ไม่ควรพลาดครับ

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!