playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว ซาบริน่า ss3 Sabrina Chilling Adventure Netflix จากแม่มดสู่ราชินีนรก

สรุป

ซาบริน่า ภาค 3 กลับมารอบนี้ จากแม่มดสาวสู่ราชินีนรกมือใหม่ เล่าเรื่องแบบดาร์ก 18+ ขนในไบเบิลมาเพียบทั้ง ลูซิเฟอร์ ลิลิธ และตำนานโบราณกับพวกเทพเพแกน ขยายสเกลเรื่องออกไปอีก น่าสนใจว่าในซีซัน 4 จะขยายออกไปได้แค่ไหน

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
5 (1 vote)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • พัฒนาการตัวละคร มีการก้าวไปข้างหน้าเกือบทั้งหมด
  • เนื้อเรื่องทำได้สนุกน่าติดตาม หลายครั้งเดาทางยาก
  • ขยายสเกลเรื่องไปฝั่งลัทธิเพแกน และเริ่มโยงเทพตำนาน
  • เสียดสีเรื่องศาสนาและความเชื่อได้ดีเหมือนสองซีซันที่ผ่านมา
  • นักแสดงยังคงเล่นได้ดีมาก เข้ากับบท รวมถึงนักแสดงใหม่ก็ดึงดูดพอสมควร

Cons

  • โปรดักชั่นยังดูทุนต่ำเกินไปสำหรับซีรีส์ที่ดังและสนุกขนาดนี้ เช่น ฉากในนรกที่เล่นง่ายมาก
  • บทจะแก้ปัญหาบางเรื่องก็ดูจะง่ายเกินไปหน่อย

ซาบริน่า ss3 Sabrina Chilling Adventure Netflix รีวิว สปอยล์ จากแม่มดสาวสู่ราชินีนรก เล่าเรื่องแบบโคตรดาร์ก 18+ ขนในไบเบิลมาทั้ง ลูซิเฟอร์ ลิลิธ เทพ ตำนานเทพโบราณ

เป็นการกลับมาอีกครั้งของ ซาบริน่า สาวน้อยต้องคำสาป ภาค 3 ซึ่งเรื่องราวดาร์กและดิบเถื่อนยิ่งกว่าเก่า

ซึ่งเชื่อว่าถ้าเป็นแฟนซีรีส์จากยุค 90 บางคนอาจคุ้นเคยกับชื่อของ “ซาบริน่า” Sabrina the teenage Witch ตัวละครแม่มดสาววัยรุ่นไฮสคูล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยนำมาฉายในประเทศไทยแล้วก็มีชื่อเสียงพอสมควร ส่วนต้นฉบับมาจากการ์ตูนคอมิคเรื่องดังในชื่อเดียวกัน โดยนิตยสาร Archie book

ส่วนเรื่อง ซาบริน่า สาวน้อยต้องคำสาป หรือ Sabrina Chilling Adventure ที่ฉายใน Netflix ครั้งนี้ นำแสดงโดย Kiernan Shipka นักแสดงสาววัย 20 ปี ในบทแม่มดสาว ซาบริน่า ซึ่งเธอเคยมีบทบาทเด่นในซีรีส์เรื่องดังอย่าง Mad Men ซึ่งมีแรงบันดาลใจในการดัดแปลงเรื่องราวมาจากต้นฉบับคอมิคในชื่อเดียวกัน ซึ่งเป็นการนำซาบริน่ากลับมาเล่าในมุมดาร์กและมืดหม่น ทำให้ได้บรรยากาศของธีมเรื่องแนวแม่มดที่ดูจริงจัง

ส่วนฉบับซีรีส์ครั้งนี้ เป็นการกลับมารีเมคทำใหม่ที่ตั้งใจตีความและเล่าเรื่องในแบบโคตรดาร์ก ดิบ เถื่อน 18+ พร้อมกับแตะต้องประเด็นละเอียดอ่อนที่สะท้อนสังคมจริงของโลก การเหยียดเพศรล่วงละเมิดทางเพศ ความรุนแรงกับเด็ก ไปจนถึงล้อเลียนเรื่องความเชื่อในศาสนา

ส่วน ซาบริน่า ss3 ภาค 3 ก็สามารถรับชมได้แล้วในเวลานี้เช่นกันครับ โดยเรื่องราวจะต่อเนื่องมาจากซีซัน 2 มาเลย

 

Sabrina Chilling Adventure ss3 Trailer

ซาบริน่า ss3 Sabrina Chilling Adventure Netflix รีวิว สปอยล์
ซาบริน่า ss3 สาวน้อยต้องคำสาป ภาค 3 Netflix กลับมารอบนี้ จากแม่มดสาววัยรุ่น กลายเป็นนราชินีนรกไปแล้ว

ซาบริน่า Sabrina เรื่องย่อ

เรื่องราวเล่าถึงชุมชนในกรีนเดล สถานที่ซึ่งยังคมีกลิ่นอายของความดำมืดด้วยเวทย์มนต์ดำจากโลกยุคโบราณ เมื่อสาวน้อย ซาบริน่า ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นลูกครึ่ง พ่อมดและมนุษย์ กำลังมีอายุใกล้ครบ 16 ปี เธอมีพร้อมทั้ง แฟนหนุ่มที่รัก เพื่อนๆที่ดี ป้าสองคนที่เลี้ยงดูเธอมาด้วยความรักและเคร่งครัด กับลูกพี่ลูกน้องที่เข้าอกเข้าใจแทบทุกอย่าง

แต่แล้วเธอก็ถึงวัยที่จำเป็นจะต้องเลือกระหว่างการใช้ชีวิตมนุษย์และแม่มด ซึ่งเธอถูกบีบให้จำเป็นต้องเลือกเส้นทางการเป็นแม่มด ที่จะทำให้เธอได้รับอำนาจเวทย์มนต์อันล้ำลึก แต่เธอก็จะต้องตัดขาดจากสังคมมนุษย์ และต้องถวายตัวต่อ “ดาร์กลอร์ด” เจ้าแห่งความมืดและปีศาจทั้งมวล

ซาบริน่าถูกบังคับให้จำเป็นต้องเลือกเส้นทางของแม่มด แต่แล้วเธอก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่า แท้จริงแล้วมันคือทางเลือกที่ถูกต้องหรือไม่ นี่จึงนำไปสู่การลุกขึ้นมาต่อต้านดาร์กลอร์ดที่ทรงอำนาจและบริวารและมีอำนาจเวทย์มนต์ยิ่งใหญ่ ในขณะที่ซาบริน่าเลือกที่จะใช้สติปัญญาเพื่อเข้าต่อกรการเข้าครอบงำวิญญาณของเธอให้จงได้

สำหรับบทสรุปเรื่องราวของซาบริน่าใน 1-2 ซีซัน ที่ผ่านมา จะเน้นไปที่การต่อสู้ขับเคี่ยวด้วยเวทย์มนต์และสติปัญญาและจิตใจในการต่อต้านอำนาจของหลวงพ่อแบล็กวู้ด กับดาร์กลอร์ด หรือลูซิเฟอร์ ที่บงการผ่านทางตัวละครอื่นๆ โดยมีเป้าหมายหลักคือต้องการนำซาบริน่าเข้าด้านมืดให้ได้

สปอยล์ ซาบริน่าตอนจบซีซัน 2

ซาบริน่า และพรรคพวก ได้หาทางเผด็จศึกดาร์กลอร์ด หรือ ลูซิเฟอร์ ซึ่งในตอนท้ายของซีซัน 2 ปรากฏว่าได้มีพันธมิตรเฉพาะกิจคนสำคัญคือ ครูลอร์ดเวล หรือ ลิลิธ มาช่วยวางแผนโค่นดาร์กลอร์ดด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วก็หาทางจับดาร์กลอร์ดมาสะกดไว้ในร่างของนิโคลัสที่ยอมเสียสละตัวเอง จากนั้นลิลิธก็พาร่างของนิโคลัสไปขังไว้ในนรก

ตอนจบซีซัน 2 ซาบริน่าจึงตัดสินใจหาทางเอาตัวนิโคลัสกลับคืนมาให้ได้

แนะนำ ซาบริน่า ตัวละคร

ซาบริน่า สเปลแมน สาวน้อยลูกครึ่งพ่อมดและมนุษย์ เป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด มีไหวพริบ กล้าแสดงออก รักความยุติธรรม เธอรู้ตัวว่าตนเองเป็นลูกครึ่งของพ่อที่เป็นพ่อมดและแม่ที่เป็นมนุษย์ แต่ทั้งสองเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก เธอจึงมาอยู่ในการเลี้ยงดูของป้าสองคนคือ เซลด้าและฮิลด้า เธอจึงได้เติบโตโดยใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์มานานเกือบ 16 ปี

กระทั่งวันหนึ่ง หลวงพ่อแบล็กวูดที่เป็นพระราชาคณะของโบสถ์แห่งราตรีก็เข้ามาแจ้งว่า เธอถึงอายุที่จะต้องเข้าร่วมพิธีกรรมเพื่อเซ็นชื่อลงในหนังสือสัญญา เพื่อที่จะถวายตัวเองต่อดาร์กลอร์ด แลกกับพลังอำนาจในฐานะแม่มดเต็มตัวที่จะทำให้เธอมีชีวิตยาวนานและทรงอำนาจ แต่ก็ต้องแลกมากับการต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในสังคมของแม่มดและพ่อมด ต้องไม่ข้อเกี่ยวกับสังคมมนุษย์อีก รวมถึงต้องเป็นผู้รับใช้ของดาร์กลอร์ดตลอดไป

ซึ่งแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นสิ่งที่เหล่าแม่มดและพ่อมดส่วนมากรู้สึกเป็นเกียรติก็ตาม แต่ตัวซาบริน่ากลับตั้งคำถามและรู้สึกถึงความผิดปกติของการลงนามในสัญญา ทำให้เธอต้องสับสนกับชีวิตของตนเอง และต้องเลือกว่าจะใช้ชีวิตในฐานะแม่มดหรือมนุษย์ต่อไป แม้ว่าแท้จริงแล้วเธอแทบจะไม่เลือกทางเหลือก็ตามที

ซาบริน่ายังมีบุกคลิกโดดเด่นคือสติและไหวพริบในการแก้ไขปัญหา ซึ่งตัวละครแม่มดและพ่อมดในเรื่องมักเชื่อกันว่านี่คือพรสวรรค์ที่เธอรับสืบทอดจากพ่อซึ่งเป็นอดีตพระราชาคณะประจำกรีนเดล

ในเรื่องราวเมื่อดำเนินเรื่องไประยะหนึ่ง ซาบริน่ารู้ตัวอยู่ว่าการที่มีศัตรูคือดาร์กอลร์ดที่มีอำนาจเวทมนต์ยิ่งใหญ่ และยังค้นพบความจริงที่ว่า แท้จริงแล้วเธอคือเด็กทารกที่พ่อแม่ของเธอได้ขอพรจากดาร์กลอร์ดเอาไว้ เธอจึงเป็นเสมือนบุตรีของดาร์กลอร์ดไปด้วยนั่นเอง ดังนั้นดาร์กลอร์ดจึงมีความปรารถนาที่จะดึงตัวซาบริน่าเข้ามาสู่ความมืดเพื่อจะให้เธอเป็นผู้ส่งสารของตนเองบนโลกมนุษย์ และขึ้นเป็นผู้ปกครองเหล่าแม่มดและปีศาจร่วมกับตน แม้แต่นิโคลัส ที่ซาบริน่ารัก ก็ถูกคำสั่งของดาร์กลอร์ดให้เข้ามาตีสนิทกับเธอ

ซึ่งในท้ายซีซัน 2 หลังจากรู้ความจริงแล้ว เธอก็วางแผนต่อต้านดาร์กลอร์ด โดยร่วมมือกับป้าทั้งสองคน และลิลิธ รวมถึงเพื่อนๆของเธอ หาทางสะกดดาร์กลอร์ดไว้ โดยนิโคลัสที่ยอมเสียสละตนเองเพื่อเป็นภาชนะไว้ปิดผนึกดาร์กวิญญาณลอร์ดไว้ได้สำเร็จ ลิลิธจึงพาตัวนิโคลัสลงสู่นรก แต่หลังจากนั้นซาบริน่าก็วางแผนที่จะเอาตัวเขาคืนมา แล้วในซีซัน 3 เธอก็ได้รับบทบาทใหม่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคือการขึ้นเป็นราชินีแห่งนรกคนใหม่ เพื่อยุติความวุ่นวายในนรก และหาทางขังดาร์กลอร์ดเอาไว้ต่อไป

ซาบริน่า ss3 รีวิว + สปอยล์

ซาบริน่า ภาค 3 ซึ่งในซีซันนี้เปิดเรื่องราวมาด้วยความพยายามของซาบริน่าที่ต้องการหาทางเอาตัวนิโคลัสคืนมาจากนรกไห้ได้ แต่ปัญหาคือแล้วจะทำอย่างไรกับวิญญาณของดาร์กลอร์ดที่ผนึกไว้ในร่างของเขา

ซึ่งซาบริน่าก็หาหนทางได้ตั้งแต่ตอนแรก นั่นคือการหาร่างใหม่ที่จะผนึกดาร์กลอร์ดเอาไว้ ซึ่งร่างใหม่ที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นหลวงพ่อแบล็กวู้ด ที่โดนแอมโบรสและพรูเดนซ์ที่ออกไปตามหาในท้ายซีซัน 2 พาตัวกลับมาได้สำเร็จ

ส่วนการช่วยนิโคลัจากนรกที่ลิลิธกลายเป็นราชินีปกครองอยู่นั้น ซาบริน่าต้องแลกเปลี่ยนกับการช่วยลิลิธหาทางกำราบพวกราชาปีศาจตนอื่นๆที่คิดจะก่อกบฏ เนื่องจากพวกเขาไม่ยอมรับที่ลิลิธครองตำแหน่ง ทำให้ซาบริน่าตัดสินใจประกาศตั้งตนขึ้นเป็นราชินี โดยอ้างจากที่ตนมีสายเลือดของ ลูซิเฟอร์ มอร์นิ่งสตาร์ แล้วตั้งลิลิธให้เป็นผู้สำเร็จราชการ ช่วยเหลืองาน แต่การตั้งตัวเป็นราชินีของซาบริน่าก็ถูกท้าทายโดยเจ้าชายคาลิบัน ตัวละครใหม่ที่ออกมาในภาคนี้ ทำให้ซาบริน่าต้องหาทางพิสูจน์ตนเองว่าเธอคู่ควรกับตำแหน่งราชินีแห่งนรกคนใหม่ พร้อมกับต้องทำภารกิจต่างๆไม่ว่าจะเป็นการต้องพาดวงวิญญาณของมนุษย์ที่ทำความผิดลงขุมนรก และการตามหาของวิเศษที่ไม่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อแข่งขันในการครองบัลลังก์ที่มีคาลิบันเป็นผู้ท้าชิง

เรื่องราวในซีซัน 3 ยังคงตัดสลับไปมาระหว่างฝั่งแม่มดและฝั่งเพื่อนมนุษย์ของซาบริน่า ซึ่งในภาคนี้กลุ่มเพื่อนมนุษย์ของเธอได้เข้ามาร่วมช่วยซาบริน่าจัดการแก้ปัญหาต่างๆในโลกเวทย์มนต์ไปจนถึงเรื่องราวในนรกอย่างเต็มตัว ในขณะที่โคเวนหรือสังคมเวทย์มนต์ภาคนี้จะอยู่ในระหว่างการฟื้นฟู โดยมีเซลด้าและฮิลด้า ป้าทั้งสองคนของซาบริน่าเป็นตัวละครสำคัญที่จะต้องช่วยกันหาหนทางให้ได้

สำหรับภาพรวมในซีซัน 3 นอกจากจะมีความดาร์กขึ้น มืดหม่นขึ้นยิ่งกว่าทั้ง 2 ซีซันที่ผ่านมาแล้ว อีกจุดที่เพิ่มเข้ามาแบบเห็นได้ชัดก็คือ ตัวละครฝั่งศัตรูหรือฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอก ที่คราวนี้ไม่ได้มีแค่ดาร์กลอร์ดแล้ว แต่ยังมีเจ้าชายคาลิบัน ไปจนถึงกลุ่มเทพโบราณที่กลับมาเมืองกรีนเดลเพื่อทวงตำแหน่งของพวกตน ไปจนถึงเหล่าสาวกที่มีความลี้ลับว่าวางแผนอะไรอยู่ สถานการณ์ของภาคนี้จึงขยายสเกลอออกไป ไม่ใช่แค่เรื่องในสังคมเวทย์มนต์และฝั่งมนุษย์เหมือนก่อนอีก รวมถึงมีการเจาะลงไปยังฝั่งนรกมากขึ้น

ส่วนที่อาจจะดูลดหายไปในภาคนี้คือแง่มุมลุ้นระทึกปนสยองขวัญ เนื่องจากปีศาจในภาคนี้จะมาให้เห็นกันจะๆ แถมตัวซาบริน่าในภาคนี้ช่วงแรกก็มีอำนาจมากขึ้นในระดับที่ไม่ต้องกลัวกับแม่มดหรือปีศาจธรรมดาอีก ศัตรูภาคนี้เลยยกระดับเป็นพวกที่อยู่ในขุมนรก กับฝั่งเทพโบราณ ซึ่งก็ทำให้ดูสูสีและสมน้ำสมเนื้อกับตัวซาบริน่าที่ตั้งตนเป็นราชินีนรกมือใหม่ไปด้วย อีกทั้งสถานการณ์ในเรื่องยังบีบให้พวกซาบริน่าและเหล่าแม่มดในเรื่องสุญเสียพลัง ซึ่งก็เข้าใจหาคำอธิบายในส่วนนี้ได้ดี ขณะที่ตัวเรื่องราวก็ยังนำเสนอโลกของแม่มดและปีศาจที่มีวามดิบเถื่อนและ 18+ เหมือนในสองซีซันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นจุดที่ก็ยังทำได้ดีมาตลอด มีหลายฉากที่คงจะไม่สามารถทำได้แน่ๆถ้าเป็นซีรีส์ที่ฉายลงช่องทีวีปกติ

จุดที่อาจจะเป็นทั้งข้อเด่นและข้อด้อยในเวลาเดียวกัน คือความดราม่าของตัวละครซาบริน่า ที่มีการเติบโตมากขึ้น แต่ก็แข็งกร้าวขึ้น เจ้าอารมณ์และทำตามใจตัวเองยิ่งกว่าเดิม แต่ในมุมหนึ่งก็สมกับวัยของตัวละครที่เข้าช่วงวัยรุ่นแตกเนื้อสาวเต็มตัว แถมประเด็นความใจร้อนจนผิดพลาดของตัวเอกก็ถูกเอามาพูดถึงตั้งแต่ช่วงแรกๆด้วย

ในขณะที่ฝั่งเพื่อนมนุษย์ของซาบริน่า ในภาคนี้จะเจอกับเรื่องราวดราม่าหนักขึ้นไปอีกขั้น เพราะมีการโยงเส้นเรื่องกับพวกนับถือเทพโบราณเข้ามาด้วย ซึ่งงานนี้ก็เรียกว่าขนเอามาทั้งตำนานในไบเบิล ไม่ว่าจะเป็นชื่อของเหล่าปีศาจที่ระบุไว้ ไปจนถึงเทพในตำนานเก่าแก่ของเพแกน

พัฒนาการของตัวละครก็เป็นอีกจุดที่ทำได้ดี โดยเฉพาะตัวละครสมทบในเรื่อง เช่น พวกของ แอมโบรส พรูเดนซ์ เป็นสองตัวละครที่มีคาแรคเตอร์พัฒนามาไกลพอสมควร (แอมโบรสเปลี่ยนจากตัวละครแนว LGBT ส่วนพรูเดนซ์เปลี่ยนจากตัวละครแนวนางอิจฉามาเป็นแนวร่วมฝั่งแม่มด) หรือในฝั่งเพื่อนมนุษย์ของซาบริน่า ที่ก็ไม่ค่อยมีดราม่ายืดเยื้อน้ำเน่ามากเกินไป ทำให้เรื่องสามารถโฟกัสไปยังส่วนที่ควรได้มากขึ้น ตัวละครสมทบอย่าง ดอเรียน เกรย์ ซึ่งก็อ้างอิงเอามาจากในวรรณกรรมคลาสสิกของอังกฤษ ก็เป็นตัวละครแนวสมทบที่มีสีสันน่าสนใจด้วย

แล้วที่สำคัญคือตัวร้ายใหม่อย่าง คาลิบัน ก็เป็นตัวละครร้ายที่มีคาแรคเตอร์น่าสนใจแล้วเปิดตัวตั้งแต่ตอนแรก แถมลักษณะภายนอกยังเข้าขั้นแซ่บสำหรับคนดูสาวๆได้ไม่ยาก

แต่จุดด้อยที่น่าเสียดายคือ โปรดักชั่น การเซตติ้งฉาก ที่ดูจะลงทุนในด้านนี้น้อยเกินไปมาก โดยเฉพาะตอนเข้านรกที่ทำออกมาง่ายๆว่าเป็นแค่ห้องสภาห้องหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้ให้บรรยากาศของความเป็นนรกที่น่ากลัวเท่าไร

 

ซาบริน่า ซีซัน 3 ตอนจบ สปอยล์ และอธิบาย

ในส่วนของ ตอนจบและบทสรุปของซีซัน 3 ใช้มุขเรื่องการย้อนเวลาจนแตกไทม์ไลน์ ซึ่งก็ไม่ใช่มุขใหม่ เพราะมีหลายเรื่องทำมาก่อนหน้านี้แล้ว ตรงนี้เป็นสปอยล์รุนแรงครับ

ซึ่งจากใน 10 นาทีสุดท้ายของตอนจบ เท่ากับว่าเรื่องราวของซาบริน่าจะถูกแตกแยกออกเป็นสองไทม์ไลน์หลัก คือไทม์ไลน์ที่ซาบริน่าและเพื่อนๆสามารถเอาชนะพวกเพแกน คืนชีพให้เซลด้าและฮิลด้า และคลี่คลายสถานการณ์ทั้งหมดให้ลงเอยด้วยดีได้ ซึ่งนางเอกในไทม์ไลน์นี้เลือกที่จะใช้ชีวิตในฐานะแม่มดสาววัยรุ่นกับครอบครัวและเพื่อนๆต่อไปอย่างมีความสุข เป็นซาบริน่าที่ผ่านสถานการณ์เลวร้ายกับปัญหาจากฝั่งนรกมาหนักหนาสาหัสมากแล้ว เลยตัดสินใจละทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นเอาไว้

แต่ในอีกไทม์ไลน์หนึ่ง เป็นซาบริน่าที่ยังมีความทะเยอทะยาน ต้องการอยากได้ทั้งอำนาจและความมีอิสระ ทำภารกิจสำเร็จ แล้วก็เลือกที่จะขึ้นครองบัลลังก์เป็นราชินีนรก ปกครองร่วมกับลูซิเฟอร์เต็มตัว

สุดท้ายแล้วก็เลยทำให้เกิดรูปแบบของ Time Paradox ที่ช่วงเวลาแตกออกเป็นสองฝั่ง แล้วก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาได้ด้วย ซึ่งคงต้องรอดูว่า ในซีซัน 4 จะมีการเล่นเรื่องราวของเส้นเวลาที่แตกเป็นไทม์ไลน์สองฝั่งนี้แค่ไหน แล้วก็น่าสนใจด้วยว่า ในซีซันต่อไปจะเลือกไทม์ไลน์ฝั่งไหนเป็นตัวหลักในการเล่าเรื่องราวต่อไป โดยเรื่องราวในภาคถัดไปน่าจะเป็นการเล่นกับฝั่งเทวดา เพราะมีการพูดถึงเทพไมเคิล (มิคาเอล) อัครเทวทูตออกมาแล้ว
แถมในพาร์ทของหลวงพ่อแบล็กวู้ด ก็มีการเปิดเส้นเรื่องและตัวละครใหม่ที่จะปูทางมาภาคต่อไปด้วย

 

โดยสรุปแล้ว เรื่องนี้ก็ยังคงเป็นซีรีส์แม่มดวัยรุ่นที่มีความทะเยอทะยานที่พยายามหาหนทางเล่าเรื่องในสเกลที่ใหญ่ขึ้น มีการผสมผสานเดินเรื่องที่มีทั้งแบบตามสูตรสำเร็จแต่ก็กล้าคิดแหกคอกไปพร้อมกัน ทำให้เดาทางเรื่องราวในแต่ละตอนเหมือนจะเดาได้ แต่ก็เดาไม่ได้ไปด้วย ซึ่งก็ยังคงความดาร์ก ดราม่า และมืดหม่น ผสมผสานกับเรื่องราววัยรุ่นแบบ Coming of Age เอาไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งก็คงต้องรอดูในซีซัน 4 ต่อไปครับ ว่าจะพาเรื่องราวไปได้ไกลขนาดไหนอีก

 

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt7569592/?ref_=nv_sr_srsg_0

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!