playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Doom Patrol ss2 (HBO) ทีมฮีโร่ DC ดราม่าชีวิตและเพี้ยนหลุดโลกยิ่งกว่าเดิม

สรุป

ซีซันสอง ที่ทำออกมาได้หลุดโลกยิ่งกว่าเดิม กับความดราม่าตัวละครชีวิตพัง และภารกิจกู้โลกสุดเพี้ยน ติดเรต 18+ เรื่องมีฉากแอ็กชั่นน้อยมาก ไปเน้นพฤติกรรมตัวละครแทน

Overall
8/10
8/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • โปรดักชั่นค่อนข้างดี โทนภาพสวย เพลงประกอบเฉพาะตัว
  • นักแสดงหลายคนเล่นดีเข้ากับบทมาก
  • เรื่องยังไปต่อได้อีกมากในซีซันสาม
  • เล่นประเด็นจิตวิทยาตัวละครที่ค่อนข้างซับซ้อน แต่เชื่อมโยงได้ง่าย
  • ใครชอบแนวครีเอทไม่ซ้ำซาก ควรลองดู

Cons

  • ฉากดราม่าตัวละครเยอะมาก หลายคนอาจไม่ชอบ
  • ฉากแอ็กชั่นน้อยมากสำหรับแนวฮีโร่
  • ไดอาล็อคของบางตัวละครเช่นคลิฟ น่ารำคาญพอสมควร
  • เรต 18+ ไม่เหมาะกับเด็กอย่างแรง

Doom Patrol ss2 HBO Go รีวิว ทีมฮีโร่ DC ที่หลุดโลกยิ่งกว่าเดิม เรื่องราวภาคแยกใน DC Universe ที่ออกมาจาก Titan DC แต่สร้างแนวทางของตนเองเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวขึ้นเรื่อยๆ 

นี่เป็นแนวฮีโร่ที่ไม่เน้นแอ็กชั่นกู้โลก แม้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่ต้องกู้โลกเข้ามาเรื่อยๆ แต่มันทำด้วยวิธีเพี้ยนๆหลุดโลก ตลกร้าย และล้อเลียนเสียดสีในหลายอย่างที่คุณไม่นึกว่าจะได้เห็นมาอยู่ในเรื่องนี้ ตัวเรื่องเป็นเรต 18+ ไม่ควรให้เด็กเล็กดู 

สำหรับเนื้อหาอ้างอิงจากคอมิกของ DC ในชื่อเดียวกัน ด้านตัวซีรีส์ถูกสร้างสรรค์และพัฒนาขึ้นโดยของ Jeremy Carver ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานซีรีส์ในตำนานเรื่องดังอย่าง Supernatural ที่ยังคงฉายต่อเนื่องมายาวนานมากกว่าสิบปี ดังนั้นในแง่ของพลังการครีเอทเรื่องราว แทบจะการันตีได้เลยว่าน่าสนใจแน่ๆ

อ่านเรื่องราวตัวละครและรีวิวใน Doom Patrol ss1 ซีซันแรก ได้ที่

Doom Patrol ss2 Trailer

Doom Patrol ss2 HBO รีวิว Doom Patrol ss2 เรื่องย่อ

หลังจากเรื่องราวของกลุ่ม Doom Patrol ในซีซันแรก ที่ต้องเผชิญหน้ากับ Mr.Nobody ผ่านไป ผลกระทบจากตอนจบของซีซัน ที่ทำให้ร่างของพวกเขาถูกทำให้ขนาดจิ๋ว ทำให้ ไนล์ส หรือ เดอะชีฟ ตัดสินใจช่วยทุกคนด้วยการสละยันต์ที่ห้อยติดตัวตนเอาไว้ เพื่อแลกเปลี่ยนกับเวทมนต์ที่จะช่วยให้ทุกคนกลับมาเหมือนเดิม แต่นั่นก็ทำให้อายุขัยของเขานับถอยหลังไปด้วย

ในขณะเดียวกัน โดโรธี ลูกสาวของเขาที่กลุ่ม Doom ช่วยเธอมาได้ในตอนท้ายซีซันก่อน ก็มีพลิงพิเศษที่รุนแรง แล้วยังไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้ ด้วยความที่ห่วงว่าหากชีฟไม่อยู่ อาจจะทำให้โดโรธีคุมพลังตนเองไม่อยู่แล้วทำให้โลกเจอความวิบัติ บวกกับสมาชิกในกลุ่มก็ต้องการให้ชีฟยังมีชีวิตอยู่เพื่อรับผิดชอบกับเรื่องที่เขาทำลงไปในการทดลองที่ผิดพลาดแล้วทำให้ร่างกายของพวกเขาเป็นอย่างที่เห็น ซีซันนี้จึงนำไปสู่ความพยายามค้นหาทางทำให้ชีพกลับมามีอายุขัยยืนยาวเหมือนคนอมตะอีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง เหล่าสมาชิกในทีมก็ยังต้องสู้กับเรื่องราวดราม่าในชีวิตของพวกเขาเองที่ถาโถมเข้ามาเพิ่มอีกอย่างคาดไม่ถึง โดยเฉพาะประเด็นครอบครัวในชีวิตเดิมของพวกเขาเอง

Doom Patrol ss2 รีวิว

ตั้งแต่ซีซันแรก ซีรีส์เรื่องนี้มีลักษณะหลายอย่างที่คล้ายคลึงกับ Legend of Tomorrow ซีรีส์เรื่องดังอีกเรื่องของ DC ที่ฉายทางช่อง CW หากใครไม่เคยดู ให้ลองนึกภาพ Guardian of Galaxy ของ Marvel แต่เป็นเวอร์ชั่นเมากาวกว่า เกรียนกว่า

Doom Patrol โดยตัวเนื้อหาที่อ้างอิงจากคอมิคแล้ว ก็เป็นลักษณะของการรวมตัวกลุ่มคน “ชีวิตพัง” มากกว่าจะเป็นการรวมทีมฮีโร่แบบเรื่องอื่นๆ คือถึงแม้ว่ากลุ่มฮีโร่อื่นอาจจะมีความวายป่วงในชีวิตส่วนตัว หรือความดราม่าอะไรต่างๆ แต่กลุ่ม Doom แตกต่างออกไป เพราะชีวิตของพวกเขาคือความพังพินาศของจริงเลย ทั้งชีวิตดั้งเดิมที่ไม่สามารถกลับไปได้ รวมถึงพลังพิเศษที่พวกเขาได้มาก็ดูแล้วไม่ค่อยน่าอภิรมย์เท่าไหร่ เพราะนอกจากจะควบคุมไม่ได้แล้ว มันก็ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากกว่าจะเป็นพลังของซุปเปอร์ฮีโร่

ดังนั้นตัวซีรีส์จึงเน้นไปที่การเล่าเรื่องราวดราม่าชีวิต แนวตลกร้าย ที่ใส่ความเป็นแฟนตาซี ไซไฟ และการเสียดสีสังคมเข้ามาในอารมณ์กาวๆเพี้ยนๆ ที่ดูเหมือนว่ามันจะยิ่งเพี้ยนหลุดโลกขึ้นเรื่อยๆในซีซันสองนี้

ในซีซัน 2 มีมุมที่มุ่งนำเสนอประเด็น “คนนอก” ในสังคมมนุษย์ที่เจาะลึกลงไปกว่าซีซันแรก แล้วที่ทำได้ดีก็คือ คนนอกของสังคมที่ตัวซีรีส์นำมาเปรียบเทียบกับตัวละครในเรื่อง ไม่ใช่แค่ คนผิวสี คนข้ามเพศ LGBT แบบที่บรรดาซีรีส์ส่วนใหญ่ในช่วงหลังนำมาเปรียบเทียบกัน แต่ Doom Patrol ซีซัน 2 นำเสนอได้ไกลกว่านั้น เพราะคนนอกสังคมของเรื่องนี้ จับไปถึง คนที่มีข้อบกพร่องในร่างกาย คนพิการ แถมยังเล่นประเด็นเด็กที่ถูกใช้กักขังหน่วงเหนี่ยว และเด็กที่ต้องอยู่ในสังคมผู้ใหญ่ด้วย ซึ่งนำเสนอผ่านทางตัวละครโดโรธีได้ดีอย่างคาดไม่ถึง

แต่ตัวเรื่องจะไปเน้นประเด็นที่มากกว่าแค่การ “ต่อสู้ ปราบบอส กู้โลก” แม้ว่าจะเดินเรื่องด้วยแนวชีวิคดราม่าวายป่วงของตัวละครในกลุ่ม แต่กลับเอาประเด็นใกล้ตัวและเรื่องโคตรเพี้ยนต่างๆมาขยายให้มันกลายเป็นตลกร้ายสุดกู่ ซึ่งหลายอย่างมันดิบเถื่อน ติดเรต 18+ จนเรื่องนี้อยู่ในกลุ่มที่เราไม่สามารถให้เด็กเล็กดูได้ ตัวอย่างเช่น การที่โลกจะพินาศเพราะปีศาจเซ็กส์ ผีร่วมเพศ และอื่นๆ อีกทั้งมุกตลกบางอย่างในเรื่องนี้ค่อนข้างเฉพาะทาง เป็นมุกตลกเสียดสีสังคม ที่สะท้อนปัญหาทางสังคมในสหรัฐอเมริกา ซึ่งคงเป็นเรื่องยากที่เด็กหรือวัยรุ่นบางส่วนดูแล้วจะเก็ต

ในแง่การเดินเรื่องของซีสอง ก็ต่อเนื่องมาจากตอนจบซีแรก ที่ทุกคนในทีม Doom ถูกทำให้ร่างจิ๋วลง จึงต้องนำไปสู่การหาทางกลับมาเป็นสภาพเดิม ซึ่งก็ต้องทำได้สำเร็จในตอนแรกทันที เพียงแต่ต้องแลกกับการที่ เดอะชีฟ ต้องเสียสละชีวิตที่กึ่งอมตะของตนไป ทำให้สมาชิกในทีมต้องหาทางช่วยยืดอายุของเขาต่อไปอีก แม้ว่าที่จริงแล้วพวกเขาต่างก็แค้นชีฟที่ทำให้ร่างของพวกเขากลายเป็นแบบนี้ก็ตามที แต่ในขณะเดียวกัน คนที่สามารถรวมทุกคนให้อยู่ด้วยกัน และหาทางช่วยให้พวกเขาใช้ชีวิตได้สะดวกขึ้นในระยะยาว ก็มีแต่ชีฟคนนี้แหละ ดังนั้นความสัมพันธ์ของตัวละครในทีมจึงเป็นลักษณะที่ทุกคนพร้อมดราม่า ด่าทอ โวยวาย ใส่กันตลอดเวลา แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องร่วมกันทำภารกิจด้วยกันอยู่ดี เพราะพวกเขาก็ไม่มีใครคนอื่นอีกแล้วนั่นเอง

ด้านจุดเด่นของซีซันสองที่เห็นได้ชัดเจนมาก และดีขึ้นกว่าซีซันแรก คือการเดินเรื่องที่มีลักษณะเฉพาะตัวสูง แตกต่างจากซีรีส์ฮีโร่ทั้งหมดที่เคยมีมา ซึ่งก็พูดลำบากว่า มันเป็นข้อดีหรือข้อเสียกันแน่ เพราะมันทำลายแพทเทิร์นการเดินเรื่องบางอย่างของซีรีส์แนวซุปเปอร์ฮีโร่ไปพอสมควร เช่น เรื่องนี้แทบจะไม่มีการแก้ไขปัญหาด้วย “ฉากแอ็กชั่น” ฮีโร่สู้ผู้ร้าย แล้วชนะในแต่ละตอน แก้ไขปัญหา หรือทำภารกิจสำเร็จ

โดยเรื่องนี้เปลี่ยนแนวทางด้วยการให้ภารกิจต่างๆที่เข้ามาให้กลุ่มแก้ปัญหาเป็นเรื่องที่ตัวละครไม่ได้ต้องการบ้าง หรือเป็นสถานการณ์หลุดโลกที่มันพาไปเองบ้าง แล้ววิธีแก้ปัญหาในแต่ละตอน ไม่ได้ใช้ฉากแอ็กชั่นเป็นตัวตัดสิน แต่หลายครั้งจะใช้การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการเพี้ยนๆแบบที่เราคาดไม่ถึงว่า มันทำงี้ได้ด้วยเหรอ เพราะเอาเข้าจริง ภารกิจแต่ละอย่างที่เข้ามาประจำตอน มันก็ออกจะเป็นแนวเพี้ยนๆหลุดโลกอยู่แล้ว

ตัวอย่างเช่น หน่วยเซ็กเมนส์ ที่ล้อเลียน Ghost Buster ในฐานะทีมที่จะต้องปราบพวกผีร่วมเพศ เพื่อช่วยโลกเอาไว้จากการที่จะไม่มีเด็กเกิดมาบนโลกอีก

หรือ การต่อสู้กับเพื่อนในจินตาการ ที่แม้ว่าจะสู้ชนะไปก็เท่านั้น เพราะเป็นจินตนาการของแต่ละคน

ดังนั้นเรื่องฉากแอ็กชั่นจึงกลายเป็นจุดด้อยของซีรีส์นี้ไปด้วย ถ้าหากคาดหวังจะดูการต่อสู้แบบอลังการ ของกลุ่มฮีโร่ เพราะพวกตัวเอกแทบจะไม่ได้ใกลเคียงกับคำว่าฮีโร่ในอุดมคติเลย แม้ว่าในซีซันนี้บางคนจะเริ่มมำจิตสำนึกที่อยากจะพัฒนาพลังแหวะๆและดูไม่มีประโยชน์ของตนเองให้มาทำประโยชน์ได้บ้าง แต่ก็ยังแค่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น

ด้านนักแสดง มีนักแสดงตัวหลักที่เข้ามาในซีซันนี้คือ โดโรธี สปินเนอร์ ที่มาพร้อมพลังพิเศษสุดแกร่ง นั่นคือการสร้างเพื่อนในจินตนาการให้ออกมามีตัวตนในโลกจริงได้ แถมแต่ละตัวก็ทรงพลังสุดๆ แล้วยังกลายมาเป็นบอสหลักของภาคนี้ซะด้วย

สำหรับบทโดโรธี นำแสดงโดย Abigail Shapiro ซึ่งมีผลงานแสดงซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก แล้วก็ทำได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ ชวนให้เราเอาใจช่วยว่าเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งจะสามารถควบคุมพลังของตนเองไม่ให้สร้างความพังพินาศได้ยังไง ส่วนนักแสดงคนอื่นๆ ก็ยังถือว่าทำได้ดีเสมอต้นเสมอปลายจากซีซันแรก แต่จะมีน่ารำคาญอยู่บ้างก็คือ ไดอาล็อคของ คลิฟ ที่มี Brendon Fraser อดีตดาราดังจาก Mummy นำแสดง ที่ในบทมักมีคำพูดติดปากอย่าง What the fuck แล้วใช้เกร่อทั้งเรื่องมาก จนมันกลายเป็นดูน่ารำคาญไปหน่อย

อีกจุดที่อาจจะทำให้คนดูรู้สึกงงๆคือการเล่าเรื่องแบบสลับไปมาในห้วงความคิดตัวละคร โดยเฉพาะบทของ เจน ที่มีบุคลิกอยู่ในตัวเองถึง 64 บุคลิก ซึ่งในซีซันนี้จะมีการเปิดเผยเรื่องของเธอมากขึ้นว่าเจออะไรมาบ้าง จึงทำให้เกิดบุคลิกมากขนาดนั้น เพียงแต่หลายคนที่ไม่ชอบแนวเรื่องประเภทเจาะลึกสำรวจตัวละครเชิงจิตวิทยาซับซ้อนภายในตนเอง อาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่คนที่ผ่านชีวิตมาระดับหนึ่ง อาจจะรู้สึกเชื่อมโยงกับตัวละครเหล่านี้ก็ได้

ในส่วนของเนื้อหาตอนท้ายซีซันสองนั้นเป็นการจบเรื่องแบบค้างคา ซึ่งเดิมมีข่าวว่าซีซันนี้จะต้องมี 10 ตอน หรือมากกว่านั้น แต่เนื่องจากปัญหา โควิด-19 ทำให้กองถ่ายทำได้ถึงตอนที่ 9 เท่านั้น แล้วก็เป็นการจบซีซันแบบค้างคา ชวนให้ดูต่อในซีซัน 3 ว่าเรื่องมันจะลากไปได้หลุดโลกขนาดไหนอีก

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference

https://www.imdb.com/title/tt8416494/episodes?ref_=tt_ov_epl

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!