playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Away Netflix ซีรีส์ดราม่านักบินอวกาศ 5 ชาติมหาอำนาจ แต่ใครคาดหวังไซไฟอย่าดู

สรุป

ไอเดียของเรื่องดี แต่การเล่าเรื่องมีปัญหา การเล่าเรื่องไม่สนุก  ยืดเยื้อ บทพูดเชย มีอวกาศเป็นฉากหลัง เนื้อแท้เป็นซีรีส์ดราม่าชีวิต ครอบครัว เสียดสีเรื่องความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ

Overall
5.5/10
5.5/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • โปรดักชั่นดี และไอเดียของเรื่องดี
  • มีสาระของเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจน
  • แฝงการเสียดสีเรื่องการเมืองในโลก ความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจผ่านทางนักบินทั้ง 5 ชาติ
  • ได้ฮิลลารี่ สแวง ดาราออสการ์มาแสดงนำ

Cons

  • ดราม่าครอบครัวที่ดูแล้วน่าเบื่อมาก
  • เดินเรื่องยืดเยื้อ ยัดเยียดปัญหาที่ดูไม่น่าเชื่อถือ
  • นักแสดงนำดูแล้วไม่ทำให้เอาใจช่วย
  • คาแรคเตอร์ของนักบินทั้ง 5 ชาติ เชยมากๆๆๆๆๆๆ
  • ใครคาดหวังจะดูไซไฟอวกาศ อย่าดู

Away Netflix รีวิว ด้วยรักจากขอบฟ้า ซีรีส์ดราม่าไซไฟ ชีวิตนักบินอวกาศ เรียกดราม่าสุดน้ำเน่า แอบเสียดสีประเด็นเชื้อชาติ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างมหาอำนาจ ผ่านนักบินจาก สหรัฐ จีน รัสเซีย อังกฤษ อินเดีย

ที่จริงแล้ว ซีรีส์เรื่องนี้เป็นดราม่าครอบครัวที่ห่างไกล ชีวิตนักบิน ความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจ ดังนั้นถ้าใครคาดหวังเรื่องไซไฟอวกาศ ข้ามไปเลยก็ได้

 Away (2020) on IMDb

Away ด้วยรักจากขอบฟ้า Netflix Trailer

 

Away Netflix เรื่องย่อ

เรื่องราวของภารกิจการส่งมนุษย์อวกาศไปดวงจันทร์ โดยทาง Nasa ได้ร่วมมือกับนักบินจากนานาชาติ ซึ่งทำให้ภารกิจนี้มีนักบินจากมหาอำนาจทางเทคโนโลยีทั้ง 5 ประเทศมาเข้าร่วม นำโดย ผู้บังคับการ เอ็มม่า กรีน นักบินหญิงจากกองทัพสหรัฐอเมริกา ที่มารับบทผู้นำในภารกิจนี้ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆ ได้แก่

มิชา นักบินจากรัสเซีย

ดร.ลู่ นักบินจากจีน

ราม นักบินจากอินเดีย

เควซี่ นักบินจากอังกฤษ

แต่ที่จริงแล้ว เอ็มม่า มารับภารกิจนี้แทนที่สามีของเธอที่มีปัญหาสุขภาพ แล้วเมื่อการเดินทางสำรวจห้วงอากาศยังไม่ทันจะเริ่มมากนัก เธอยังต้องเผชิญปัญหาเรื่องความไว้ใจและความเชื่อมั่นจากคนในทีมนักบิน เมื่อเธอผิดพลาดในการแก้ปัญหาที่ดูเหมือนเรื่องเล็กๆ แต่มันส่งผลกระทบทำให้การเดินทางหลังจากนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด ความขัดแย้ง ทั้งในแง่ของความเชื่อมั่นในด้านความสามารถ ไปจนถึงปัญหาทางเชื้อชาติ และความรู้สึกห่างไกลจากบ้านของเหล่านักบินที่ต้องออกมาทำภารกิจที่ไกลที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยเผชิญมา

away netflix

Away Netflix รีวิว

ก่อนอื่นอยากเตือนว่า ใครที่อยากดูซีรีส์ไซไฟอวกาศ ขอให้คุณคิดใหม่ เพราะนี่คือซีรีส์ดราม่านักบิน ที่มีอวกาศเป็นฉากหลัง ทั้งดราม่าเรื่องครอบครัว ดราม่าเรื่องเชื้อชาติ ไปจนถึงเสียดสีความขัดแย้งระหว่างชาติมหาอำนาจอย่าง สหรัฐ จีน รัสเซีย อังกฤษ อินเดีย

โดยเฉพาะสามชาติแรก ที่กำลังมีความขัดแย้งอย่างจริงจังอยู่ในปัจจุบัน เรื่องนี้ก็สะท้อนออกมาผ่านทางสามนักบินของเรื่องนี้อย่างเต็มที่เลยครับ ซึ่งจุดนี้ ถ้าจะมองว่า มันคือจุดแข็ง ก็ถือว่าใช่ และทำได้น่าสนใจด้วย เสมือนว่านักบินทั้ง 5 ชาติ คือตัวแทนของมหาอำนาจทางเทคโนโลยีของโลกในเวลานี้ แล้วยังเป็นตัวแทนในเชิงปัจจุบันด้วย

แต่ในทางกลับกัน “นี่ก็เป็นจุดด้อยที่ร้ายแรงมาก” เนื่องจากซีรีส์ Away ไม่ได้มีอะไรใหม่ๆไปกว่าแค่การจับเอาคนจากหลากหลายเชื้อชาติ ให้มารวมตัวอยู่ในสถานที่จำกัด บีบบังคับให้พวกเขาต้องรู้จักกัน เรียนรู้ความแตกต่างระหว่างกัน แล้วระหว่างนั้นก็ยัดเอาดราม่าต่างๆเท่าที่เรื่องจะสามารถประเคนได้เข้ามา ให้พวกเขาแก้ปัญหา แล้วก็เกิดความขัดแย้งกันอีก

ซึ่งเจ้าดราม่าความต่างทางวัฒนธรรมและชนชาติที่ว่านี้ ถ้าทำถึง มันก็จะออกมาเป็นงานที่สนุกและดีมาก แต่ถ้าทำไม่ถึง มันก็จะเป็นแบบเรื่องนี้ ที่คาแรคเตอร์ตัวละครเต็มไปด้วย “ความเชยของเหล่าคาแรคเตอร์” ซึ่งจะสังเกตว่าแต่ละตัวละครดูเหมือนสะท้อนให้เราเห็นว่า คนอเมริกันมองคนชาติอื่นแบบไหน

ตัวอย่างเช่น

มิชา นักบินจากรัสเซีย ก็เป็นตัวละครในแนวคนรัสเซียตามภาพลักษณ์เก่าๆในสายตาของฝรั่งอเมริกัน คือต้องพูดจาถ่อยๆ ดูเถื่อนๆ ไม่ไว้ใจใคร

ลู่ ตัวแทนจากจีน ก็มาแนวสาวเงียบ ดร.เคมีผู้รอบรู้ แต่ก็ไม่ค่อยไว้ใจเอ็มม่าที่ทำผิดพลาดในตอนแรก แล้วก็ไปสุงสิงกับมิชาเป็นหลักแทน

ในขณะที่ ราม ตัวแทนจากอินเดีย ก็เป็นผู้ชายสไตล์ง่ายๆ เป็นผู้ตามที่ดี มีความรอบรู้ ชื่นชอบเอ็มม่า และเชื่อถือเธอเต็มที่

ส่วน เควซี่ ตัวแทนจากอังกฤษ ที่เป็นคนผิวสี ก็เป็นน้องใหม่ด้านอวกาศที่ขาดประสบการณ์ และก่อความผิดพลาดจนเกือบตายตั้งแต่ตอนแรก แล้วเรื่องที่ว่ายังส่งผลทำให้เกิดความขัดแย้งและบรรยากาศตึงเครียดระหว่างเอ็มม่ากับมิชาและลู่ไปอีกหลายตอน จึงค่ออยคลี่คลายลง

ถามว่า ประเด็นความขัดแย้งระหว่างนักบินทั้ง 5 ชาติ ก็ดูเหมือนกับสถานการณ์ของโลกจริง แล้วเรื่องก็เน้นจุดนี้ไปถึงฉากสุดท้าย ที่พยายามคลี่คลายว่า แท้จริงแล้วทุกชนชาติก็คือเพื่อนร่วมโลกกัน เราควรสามัคคีกัน ซึ่งถ้าหากนี่เป็น “หนังเด็ก” จะถือว่าเป็นการนำเสนอที่ทำได้ดี แต่เผอิญว่า หนังเรื่องนี้ไม่ได้ถูกนำเสนอตัวอย่างว่าเป็นหนังเด็กแบบนั้น แต่ผู้ชมน่าจะคาดหวังอะไรที่มันมากไปกว่าความเชยแบบเก่าๆที่สุดท้ายแล้ว อเมริกันคือผู้นำให้ทุกชนชาติร่วมมือกันจนได้ แม้ว่าเรื่องนี้จะลดทอนความคิดดังกล่าวลงไปบ้างแล้วก็ตาม

อีกจุดที่เป็นเสาหลักของการเดินเรื่องคือ การเล่นกับประเด็นดราม่าครอบครัว ที่จะต้องแยกจากกันเป็นระยะเวลานาน โดยที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีแค่ไหน แม้ว่าพวกเขาจะสามารถติดต่อกันได้แทบจะตลอดก็ตามที ซึ่งเอาเข้าจริงๆ นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่เลย แถมซีรีส์ยังมีพลอตโฮลที่ทำให้เราอดสงสัยไม่ได้ว่า มันเยอะเกินไปหรือไม่ กับประเด็นดราม่าครอบครัว ที่ถูกเล่นมาตลอดเรื่องทั้ง 10 ตอน

ที่จริงหากกล่าวถึงไอเดียของเรื่องจัดว่าดีและน่าสนใจมาก แต่จุดที่น่าเสียดายคือ “มันไม่สนุกเลย” การเล่าเรื่องมีปัญหา ยืดเยื้อ เดินเรื่องช้า บทพูดเชย แม้คาดว่าจะทำให้สนุกขึ้นในตอนหลัง แต่ยิ่งดูก็ยิ่งไม่สนุกเอาเลย

อีกทั้งแม้ว่านักแสดงสมทบจะเล่นได้ดี แต่บทของนางเอกคือ ผู้บังคับการ เอ็มม่า กรีน ที่ได้ ฮิลลารี่ สแวง มานำแสดง แม้ว่าเธอจะแสดงได้ดีไม่น้อย แต่ตัวบทในเรื่องกับสีหน้าท่าทางในการแสดงของเธอกลับดูแล้วทำให้คนดูจะไม่ค่อยรู้สึกอยากเอาใจช่วยเท่าไรนัก คือถ้าดูไป เราอาจจะรู้สึกเหมือนกับนักบินบางคนในเรื่องอย่างมิชาของรัสเซียและลู่ของจีน ที่รู้สึกกังขาและไม่ไว้ใจในตัวนางเอกเท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งตรงนี้ยิ่งทำให้ภาพรวมของตัวซีรีส์ดูดรอปลงไปอีก

ภาพรวมแล้ว เป็นซีรีส์ที่ ไอเดียของเรื่องดี แต่การเล่าเรื่องมีปัญหา การเล่าเรื่องไม่สนุก  ยืดเยื้อ บทพูดเชย มีอวกาศเป็นฉากหลัง เนื้อแท้เป็นซีรีส์ดราม่าชีวิต ครอบครัว เสียดสีเรื่องความขัดแย้งระหว่างมหาอำนาจ หากว่านี่ถูกโปรโมตหรือสร้างมาว่าเป็นหนังเด็ก อาจจะดีกว่านี้ก็ได้

ติดตามบทความทั้งหมดของผู้เขียนคลิกที่นี่

Reference Website

https://www.imdb.com/title/tt8787802/

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!