playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

[รีวิว]The Beast แค้นอสูร ตามล่าเพื่อทวงลูกคืน หนังไล่ล่าแนวเดียวกับ Taken

รีวิว The Beast แค้นอสูร

สรุป

หนังแนวไล่ล่าแนวเดียวกันกับเรื่อง Taken ที่มีพระเอกหน้าโหดตามไล่ฆ่าคนที่พาลูกไป พร้อมฉากแอ็กชั่นมันส์ แต่องค์ประกอบโดยรวมยังไม่สามารถตราตรึงใจผู้ชมได้มากพอ และยังมีพล็อตโฮลที่เห็นเป็นข้อสังเกตุมากไป ถ้าชอบแอ็กชั่นแบบไม่สนเนื้อเรื่อง ก็ถือว่าน่าสนใจไม่น้อย

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
3.5 (2 votes)

Pros

  • พระเอกหน้าโหด จนตำรวจและคนร้ายต้องกลัว
  • ฉากแอ็กชั่นมันส์บางฉาก

Cons

  • มีบางจุดที่ไม่สมเหตุสมผลจนคนดูสังเกตุเห็นได้
  • ฉากแอ็กชั่นบางฉากดูตลก
  • ตัวประกอบแสดงแย่มาก

 

The Beast (La Belva) แค้นอสูร หนัง OriginalNetflix ของอิตาลีที่ได้ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง Warner Bros. มาเป็นทุนออกเงินร่วมสร้างหนังเรื่องนี้ด้วย อาจจะเป็นไปได้ว่าเรื่องนี้อาจจะมีแปลนฉายลงโรงหนังก่อนที่โควิดจะมา แต่เน็ตฟลิกซ์อาจจะซื้อมาทำเป็น Original ของตนเอง และด้วยธีมหนังที่เป็นการไล่ล่าแบบเดียวกับ Taken ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่น่าสนใจมาก และสำหรับใครที่สนใจแอ็กชั่นฆ่าไม่เลือกก็ลองรับชมตัวอย่างได้เลยครับ

 The Beast (2020) on IMDb

รับชมตัวอย่าง The Beast แค้นอสูร

ลีโอนีด่า รีว่า ชายแก่ที่เป็นโรคทางจิตเวชจากประสบการณ์สงครามอันโหดร้ายที่เขาเผชิญมากว่า 30 ปี แต่แล้ววันหนึ่งที่เขานัดลูกสาวกินข้าวด้วยกันที่บ้านของเขา ลูกชายคนโตที่จะต้องพาน้องไปส่งที่บ้านของพ่อเขา กลับเดินทางไปร้านเบอเกอร์เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับพ่อของตน และปล่อยปะน้องสาวจนทำให้น้องสาวของตนโดนลักพาตัวไป นั้นจึงทำให้ รีว่า ต้องออกตามล่าคนร้ายที่ลักพาตัวลูกสาวของเขาไป และตำรวจเองก็เชื่อว่า รีว่า เองนั้นแหละที่เป็นคนร้าย จนเป็นเรื่องถึงขนาดต้องปิดเมืองเพื่อไล่ล่าเลยทีเดียว

ในช่วงแรกของหนังพวกเขาพยายามที่จะเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตัวเอก และครอบครัวของเขาว่ามีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่แค่ไหน เมื่อลูกชายคนโตของเขาก็ไม่สนใจ ภรรยาเองก็พูดอะไรไม่มาก แต่ยังมีเพียงลูกสาวคนเล็กเท่านั้นที่เป็นจุดเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวไว้ รีว่าได้ตระหนักถึงความรักที่ลูกสาวของเขามีให้มันมากจนทำให้เขาอยากที่จะกลับมาเป็นปกติ เมื่อลูกสาวของเขานัดพ่อของเธอ กินอาหารร่วมกัน แต่ก็เป็นเพียงความฝันเมื่อพี่ชายของเธอกลับไม่พาเธอไปหาพ่อ และปล่อยน้องไว้เพียงคนเดียวจนถูกลักพาตัว และนั้นแหละจึงทำให้ รีว่า ต้องออกไล่ล่าหาคนร้ายเพียงคนเดียว เพราะตำรวจอาจจะช่วยไม่ทันการ ซึ่งการเปิดเรื่องในช่วงนี้ถือว่าเป็นอะไรที่ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าสนใจมาก เมื่อมีประเด็นอื่น ๆ ร่วมด้วย ทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ใช่เพียงแค่เกี่ยวกับไล่ล่าเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องหาทางสานสัมพันธ์ให้ครอบครัวกลับมารักกันเหมือนเดิมอีกด้วย และยังสร้างความสงสัยให้ตำรวจอีกด้วยว่าการที่เขาไปคนเดียวนั้นมันเป็นแผนลักพาตัวด้วยรึเปล่า? และจะแก้ตัวอย่างไรกับผู้พิทักษ์กฎหมาย แต่ประเด็นนี้กลับอ่อนลงเมื่อเหตุผลกลับฟังไม่ขึ้นเลยซักนิด เมื่อตำรวจได้เห็นแค่บางสิ่งบางอย่างก็ทำให้เขาปักใจเชื่อแล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ผิด โดยไม่ไตร่ตรอง ผิดกับหนังสืบสวนเรื่องอื่นที่ต้องมีหลักฐานชัดเจนก่อน จึงทำให้การผูกปมต่าง ๆ มันดูเบาบางมาก

ในขณะที่ช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง ที่เริ่มเป็นฉากแอ็กชั่น และการเล่าเนื้อหาหลักนั้นทำได้ค่อนข้างแย่มากในบางช่วง และดีในบางช่วง ความสมเหตุสมผลเริ่มหาไม่ได้จากเรื่องนี้ การคลายปมต่าง ๆ ภายในเรื่องคลายได้ง่ายเกินไป และมีการตัดฉากไปมา จนทำให้หนังเรื่องนี้ขาดความต่อเนื่องยาวจนทำให้ผู้ชมหงุดหงิดได้ไม่ใช่น้อย ตำรวจเหมือนเป็นเพียงแค่ตัวประกอบสำหรับเรื่อง ไม่ได้เป็นส่วนจำเป็นของเรื่องไม่ต้องใส่มาก็ยังได้เลย ส่วนตัวร้ายที่เหมือนจะเป็นตัวเด่นกลับไร้ราคาในหนังโผล่มาเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น จึงทำให้รู้สึกผิดหวังบ้างเมื่อรับชม แต่บางช่วงอย่างการทำฉากย้อนอดีตของตัวละครเองก็ทำได้ดีเช่นกัน อย่างการคลายปมของตัวเอกมันมีอิมแพ็คมาก และฉากแอ็กชั่นที่สนุกทำให้เรื่องมันไปต่อได้ แม้ว่ามันอาจจะเหมือนฉากแอ็กชั่นทุนต่ำก็ตาม แต่ก็ยอมรับว่า ตอนจบของเรื่องมีการคลายปมของตัวละครทั้งหมดแล้ว และหนังเรื่องนี้ก็จบภายในเรื่องของตัวมันเองได้

ฉากแอ็กชั่นต้องยอมรับเลยว่าเป็นอะไรที่ไม่สามารถหาความบาลานซ์ที่สุดในเรื่องแล้วก็เป็นได้ บางฉากก็ดีมาก บางฉากก็ตลก บางฉากก็เล่นห่วย เหมือนทำสุ่ม ๆ ให้ผู้ชมได้เจอกันไป เหมือนพยายามจะบอกว่าหนังเรื่องนี้มีทุนสร้างที่ไม่เพียงพอ เราจึงต้องลดทอนหลาย ๆ อย่างภายในหนัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นใจความสำคัญที่สุดในหนังประเภทแอ็กชั่นนี้เลยก็ว่าได้ การที่ลดทอนสิ่งนี้ก็เหมือนทำให้คุณค่าลดลง อย่างเช่นในบางฉากที่ฝั่งตัวร้ายที่มีปืนทุกคน แต่พอเป็นอีกที่ที่มีเป็นสิบคน กลับกลายเป็นว่าปืนมีกระบอกเดียวเพียงทั้งซีน,ฉากแอ็กชั่นที่ดูตลกมาก และการแสดงของตัวประกอบที่ย่ำแย่มาก ไม่รู้สึกถึงพลังของการกระทำเลย จึงให้คะแนนในส่วนนี้ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับกับฉากที่ดี แต่ไม่ได้ดีมาก

การแสดงก็เป็นอะไรที่พูดยากอีกเช่นกันว่าดีหรือไม่ดีกันแน่ เพราะบทพูดที่แต่ละคนได้มา การพูดของตัวละครทั้งเรื่องเราจะได้เห็นอยู่เพียงไม่กี่แบบเท่านั้น สิ่งที่ได้เห็นคือ ตัวละครเก๊กเท่ และตัวละครเศร้าแต่เศร้าไม่สุด อารมณ์ตัวละครเราจะไม่ได้เห็นรอยยิ้ม, ความดีใจ หรือ ความสูญศรัทธาเลยแม้แต่น้อย ในช่วงแรกของหนังเราอาจจะเห็นว่าการแสดงมันก็ดูปกติ แต่พอดูไปเรื่อย ๆ มันกลับเป็นการแสดงที่ซ้ำซากมาก การแสดงของตัวละครหลักบางคนไม่สามารถกระชากใจคนดูได้ ยกเว้นการแสดงของตัวเอกที่เขาเป็นอาการป่วยทางจิตจริง ๆ เขาแสดงให้เห็นว่าเขาเป็น และเหมือนมากแค่ไหน เขานิ่งเงียบไม่คุยกับใคร คาแร็กเตอร์ที่ยังคงเป็นคาแร็กเตอร์ตั้งแต่ต้นจนจบ มันทำให้ตัวละครนี้ ทำออกมาได้ดีมาก จึงทำให้สงสัยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีสิ่งแย่ผสมดีเยอะขนาดนี้

สรุปว่าเป็นอีกเรื่องที่น่าจะเป็นที่โปรดักชั่น และเงินทุนที่อาจจะบริหารไม่ดีพอ จนทำให้หนังในเรื่องมีฉากดีปนฉากแย่เยอะขนาดนี้ แต่เรื่องนี้เองก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่แย่นักสำหรับคนที่จะดูหนังประเทศอื่นบ้าง เพราะยังมีความสนุกและความบันเทิงให้ได้รับชมอยู่ แม้จะมีหลายจุดที่ขัดใจบ้าง

 

ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง 45 นาที

เสียงพากย์: อังกฤษ/อิตาลี

บรรยาย: ไทย

ติดตามรีวิวหนัง Netflix เรื่องอื่นคลิกที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!