playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Night Teeth (Netflix) เขี้ยวราตรีที่คงเป็นได้เพียงแวมไพร์เขี้ยวกุด

สรุป

เห็นได้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ ได้นำองค์ประกอบจากสูตรสำเร็จในหนังต่างๆ ทั้งอาชญากรรม ทริลเลอร์ หรือแนวผีดูดเลือดที่มันเซ็ตอัพได้น่าสนใจ แต่แย่ตรงการนำเสนอ ไม่มีความสดใหม่หรือพลิกแพลงอะไร เน้นไปในส่วนที่ไม่ควรจะเน้น สิ่งที่ดีงามในเรื่องก็คืองานโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ดูดีเพียงอย่างเดียว แม้มันจะไม่ได้แย่มากในแง่ของการเป็นหนังแวมไพร์ แต่มันก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลยเช่นกัน

Overall
5/10
5/10
Sending
User Review
5 (3 votes)

Pros

  • เซ็ตอัพเรื่องในโลกกลางคืน ปกครองไปด้วยเหล่าแวมไพร์ในเขตต่างๆ หรือมีองค์กรที่คอยสู้กับผีดูดเลือดมาตลอด ทำได้น่าสนใจ
  • ดำเนินเรื่องด้วยมุมมองใหม่ๆ ผ่านทางเด็กขับรถเนิร์ดๆ ท่ามกลางสงครามเผ่าพันธ์ย่อมๆ
  • โปรดักชั่นดี ทั้งงานภาพ แสง สี เอฟเฟค ฉากแอคชั่นต่างๆ
  • Sydney Sweeney ในบท Eva น่ารัก
  • มีเสียงพากย์ไทย

Cons

  • ไม่มีความแปลกใหม่อะไรเลย
  • ตัวละครแทบไม่มีมิติ แบนมาก
  • เน้นในจุดที่ไม่ควรจะเน้น จนเนื้อเรื่องจากที่น่าสนใจ กลายเป็นน่าเบื่อ
  • เอา Sydney Sweeney และ Megan Fox มาแสดงได้เสียของมาก (โผล่มาไม่ถึง 3 นาที)

Night Teeth ภาพยนต์จาก Netflix ที่ว่าด้วยเรื่องราวของโลกกลางคืนใน L.A. ที่ถูกปกครองโดยเหล่าผีดูดเลือด แต่เด็กหนุ่มเบนนี่ กลับต้องก้าวขาเข้าไปสู่โลกแสนอันตรายนี้อย่างไม่รู้ตัว เขาต้องหาทางเอาตัวรอดท่ามกลางสงครามระหว่างเผ่าพันธ์ที่กำลังปะทุขึ้นให้ได้

 Night Teeth (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Night Teeth เขี้ยวราตรี

รีวิว Night Teeth เขี้ยวราตรี

ถ้าหากว่าคุณดูตัวอย่างแล้ว เห็นว่ามีหลายฉากน่าสนใจ ทั้งแสงสีในยามกลางคืน สองสาวแวมไพร์สุดแซ่บ พระเอกหนุ่มหัวฟูหน้ามึน กับฉากแอคชั่นทริลเลอร์ที่ดู “เหมือนจะ” เลือดสาด บอกเลยว่าฉากพวกนี้ก็เกือบจะเป็นทั้งหมดของหนังได้เลย

เรื่องราวเปิดมาด้วยเสียงพากย์ที่บรรยายเกี่ยวกับ เผ่าพันธ์ที่อยู่มาอย่างช้านาน (มนุษย์กับแวมไพร์นั่นล่ะ แต่ดันไม่บอกตรงๆ เหมือนกั๊กไว้เป็นความลับ ทั้งๆ ที่ตัวอย่างหนังก็เฉลย) แต่พวกเขาก็ได้ตกลงทำสัญญาสงบศึกเพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยคงกฏไว้สามข้อก็คือ 1.ห้ามให้มนุษย์รู้ว่าแวมไพร์มีตัวตนอยู่ 2.อย่าดูดเลือดคนที่ไม่เต็มใจ 3.ห้ามยุ่งกับเขตบอยล์ไฮต์โดยไม่ได้รับอนุญาติเด็ดขาด ดูเหมือนว่าเหล่าแวมไพร์พวกนี้จะปกครองโลกแสงสีในยามค่ำคืนอย่างลับๆ อยู่ แต่แล้วดันเกิดเหตุที่จะทำลายกฏเหล็กนั้นขึ้นมา เพราะพวกแวมไพร์ดันไปฆ่าคนๆ หนึ่งเข้า

ตัดกลับมาที่ตัวเอก เบนนี่ เด็กมหาลัยสายเนิร์ดที่ใฝ่ฝันว่าจะเป็นดีเจ โปรดิวซ์เพลง เมื่อกลับมาบ้านก็พบว่า เจย์ พี่ชายต่างพ่อของเขากำลังหาคนไปทำงานขับรถแทนเขาไม่ได้ เพราะเขามีเรื่องสำคัญจะไปเคลียร์ เบนนี่จึงขออาสาไปขับรถให้ลูกค้าแทนพี่ชาย หาเงินค่าขนมไปเติมเต็มความฝัน โดยหารู้ไม่ว่า ลูกค้าของพี่ชายนั้นจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไป

เมื่อถึงเวลางาน เขาก็ได้พบกับ โซอี้ และแบลร์ สองสาวเพื่อนสนิทที่ใช้บริการคนขับรถ ดูผิวเผินเหมือนพวกเธอกำลังจะออกไปปาร์ตี้สุดเหวี่ยง แต่แท้จริงแล้วมันมีเบื้องลึกเบื้องหลังซ่อนอยู่มากกว่านั้น เมื่อเบนนี่ บังเอิญไปเห็นสองสาวที่กำลังสนุกสุดเหวี่ยงอยู่ในคลับดูดเลือด เหมือนเขาได้รู้ความลับที่ไม่ควรจะรู้เข้าให้ เบนนี่จึงต้องหาทางเอาตัวรอดในเหตุการณ์สุดแสนแปลกประหลาดนี้ให้ได้ และในอีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าสองสาวนี้กำลังหมายตา เจย์ พี่ชายของเบนนี่ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่างอีกด้วย

เกริ่นเรื่องมาแค่นี้ หลายๆ คนก็แทบจะเดาได้ตั้งแต่ต้นจนจบเรื่องได้ด้วยซ้ำ ยิ่งดูตัวอย่างหนังประกอบ หรือดูเพียงต้นเรื่องก็จะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ยิ่งถ้าใครเป็นสาวกหนังแนวแวมไพร์ล่ะก็ เรื่องนี้ได้หยิบยกสูตรสำเร็จจากเรื่องต่างๆ เอามาใส่ โดยไม่มีการบิดพลิ้วให้มันดูน่าสนใจเลย

คร่าวๆ ก็คือ เซ็ตอัพของโลกไนท์ทีท คือเหล่าแวมไพร์ ปกครองเขตต่างๆ ของเมือง โดยตกลงกับเหล่ามนุษย์เอาไว้ไม่ให้รุกรานกัน ต่างคนต่างอยู่ แต่ดูเหมือนว่า วิคเตอร์ ตัวบอสที่โผล่มาตั้งแต่ต้นเรื่องที่มีความบาดหมางกับเจย์ จะต้องการทำลายสัญญานั้นเพื่อครอบครองทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว เขาเลยต้องจัดการเหล่าแวมไพร์ตัวบอสที่คุมอยู๋ในพื้นที่ต่างๆ ให้หมด ก่อนจะขึ้นครองเป็นเจ้าแห่งรัตติกาล แต่นั่นก็ทำให้คนของเขตบอยล์ไฮต์ ที่เหมือนจะเป็นผู้รักษากฏระหว่างเผ่าพันธ์ ต้องออกตามล่าแวมไพร์ที่แหกกฏนั่นเอง

จากที่กล่าวข้างต้น คงเห็นว่าเรื่องราวแบบนี้มันคือพล็อตแนวหนังอาชญากรรม ชิงพื้นที่กับเจ้าพ่อคนอื่นๆ แต่มาในธีมของผีดูดเลือดแทนนั่นเอง แต่ตัวหนังจะเล่าผ่านอีกมุมมองหนึ่งที่ต้องบอกเลยว่าน่าสนใจที่มันพยายามหยิบยกมานำเสนอ นั่นก็คือมุมมองของคนธรรมดาๆ ที่ขับรถให้สาวๆ ที่ดันเป็นแวมไพร์ อยู่ในระหว่างภารกิจโค่นเจ้าพ่อแวมไพร์คนอื่นๆ นั่นเอง โดยตัวของโซอี้ ก็จะเป็นสาวแนวเปรี้ยวๆ แรงๆ ส่วนแบลร์ ก็จะเป็นสาวแนวที่ดูลึกลับ ใสๆ แต่ไม่ใส ต้องมาเจอกับหนุ่มติ๋มๆ ที่พวกเธอจะทำอะไรเขาก็ได้ บีบก็ตาย คลายก็รอด ทำให้พระเอกก็ต้องหาทางเอาตัวรอดจากเงื้อมมือผีดูดเลือดสาวสองตนนี้ก่อนจะถูกเชือดให้ได้

NIGHT TEETH

บอกเลยว่าเซ็ตอัพต่างๆ ของโลกกลางคืนที่ผสมผสานกับเรื่องราวของแวมไพร์ก็ดูน่าสนใจ เช่น เขตแต่ละเขตก็จะมีสถานที่เที่ยวกลางคืน ฉากหน้าเหมือนสถานบันเทิงทั่วไป แต่ถ้าหากว่าใครที่มีตราสัญลักษณ์สำหรับกลุ่มแวมไพร์ล่ะก็ สามารถเข้าไปในสถานที่พิเศษอย่าง คลับดูดเลือด ที่จะมีมนุษย์ที่ยินยอมให้ถูกดูดเลือด มาบริการแวมไพร์ได้อิ่มหนำสำราญ ตรงนี้ก็มาในธีมองค์กรลับในหนังสายลับเทือกๆ นั้น

หรือกลุ่มของมนุษย์ ที่ปกครอง รักษาอำนาจระหว่างแวมไพร์ กับมนุษย์เองก็น่าสนใจ อย่างตำรวจเองก็เป็นคนของผีดูดเลือด หรือมีกลุ่มบอยล์ไฮต์ที่เป็นเหมือนแก๊งค์ชาวเม็กซิกันที่คอยปกครองฝั่งมนุษย์ และลีเจี้ยนไนท์ กลุ่มที่เหมือนกับทหารลับ คอยไล่ล่าเหล่าผีดูดเลือดให้สิ้นซาก ตัวบอสของเรื่องอย่างวิคเตอร์ก็มีโรงงานสูบเลือดมนุษย์มาดื่มอยู่ใต้บ้านตัวเองทั้งๆ รายละเอียดองค์ประกอบเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ มันน่าสนใจและบ่งบอกได้ว่าคนเขียนบทและผู้กำกับ ทำการบ้านมาดี

แต่สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ดันมาตกม้าตายที่การเลือกดำเนินเรื่องและการนำเสนอ เพราะว่ามันไม่ได้มีอะไรที่ดูสดใหม่เลย แถมยังดำเนินเรื่องไปสู่ไคลแม็กซ์ได้แบบไม่น่าประทับใจอะไร เพราะสิ่งที่หนังมันเป็นจริงๆ ก็คือหนังดราม่าแบบมึนๆ มีความรักกุ๊กกิ๊กกันช่วงกลาง จนไปถึงช่วงท้ายในธีมแวมไพร์เสียอย่างนั้น

เริ่มจากการที่ตัวเรื่อง ดำเนินผ่านตัวเอก เด็กหนุ่มเนิร์ดๆ ที่ไม่ได้ปูบทหรือมีภูมิหลังอะไรมาก การนำเสนอตัวละครทุกตัวในเรื่องต้องบอกเลยว่ามันแบนและไม่มีมิติ จนกลายเป็นข้อเสียใหญ่ที่ทำให้เราไม่อินเลย ทั้งๆ ที่คำโปรยของเรื่องราวคือการเอาตัวรอด แต่ในหนังมันไม่ใช่แบบนั้นเลยสักนิด เราเลยไม่ได้ลุ้นเอาใจช่วยพระเอกว่า เขาจะดำเนินเรื่องราว แก้ปัญหาแบบไหน เจอแบบนี้เขาจะทำอย่างไร มันดูไม่น่าสนใจอะไรเลยเพราะความติ๋มของพระเอก เมื่อเจอเหตุการณ์ต่างๆ ก็แพนิ ตกใจกลัว แต่ตอนท้ายก็กล้าขึ้นมาดื้อๆ ด้วยเหตุผลเรื่อง ผู้หญิง

จากที่เห็นไปในตัวอย่าง เขาเหมือนจะจูบกับแบลร์ แวมไพร์สาวหน้าหน้ากลมดูน่ารักๆ ซึ่งก็ตามที่คาด เรื่องราวก็จะค่อยๆ ดำเนินไปด้วยความกุ๊กกิ๊กของเบนนี่หนุ่มติ๋มกับแวมไพร์สาวที่ดูเหมือนจะชอบมนุษย์คนนี้เพราะความที่ใสซื่อและดูใจดี แต่อย่าลืมว่าแวมไพร์อายุยืน อยู่มานาน แต่ดั๊นมารู้สึกมีใจให้หนุ่มเซ่อๆ โดยที่ไม่มีเรื่องราวอะไรมาเป็นแบคกราวด์ให้เราได้เข้าใจตัวละครของเธอ ก็ยิ่งทำให้คนดูไม่อิน แล้วตรงนี้เองก็ได้กลายเป็นเหมือนกับจุดที่จะพลิกเรื่องในช่วงท้ายไคลแม็กซ์เสียอีก

พล็อตโฮลเองก็มีอยู่หลายจุด ที่ดูไม่สมเหตุสมผลผุดขึ้นมาให้เห็นทั้งเรื่อง เช่นตราสัญลักษณ์เฉพาะแวมไพร์ที่ดันบังเอิญมากลิ้งเข้ามือพระเอกพอดี หรือการแฝงตัวเข้าไปฆ่าหัวหน้าแวมไพร์ตามเขตต่างๆ ของสาวแวมไพร์ ด้วยการเข้าไปคุยตีเนียนแล้วจะเอามีดแทง มันก็ได้แต่ทำให้คิดในใจว่า พวกเอ็งเป็นแวมไพร์ ตีเนียนเพื่อเข้าไปเอามีดแทงเนี่ยนะ? ปูมหลังหรือความโหดของตัวบอสใหญ่ก็ไม่ได้ดูน่าเกรงขามอะไรเลยด้วย มัวแต่ดันไปโฟกัสกับดราม่าส่วนอื่นเสียหมดจนลืมที่จะบิ้วเกี่ยวกับตัวละครสำคัญ

แต่สิ่งที่ต้องชมจริงๆ คืองานโปรดักชั่นของเรื่องที่บอกเลยว่า ทำได้ดีและสวยมาก ฉากหลายๆ ฉาก อย่างเช่นตอนที่พระเอกกำลังมึน แล้วสองสาวบู๊แหลกเป็นแบคกราวอยู่ข้างหลัง โลกแสงสีในยามค่ำคืน และฉากไคล์แม็กซ์ที่ใช้มุกแสงอาทิตย์ก็ทำออกมาได้สวย CG เองก็ดูดีเลย ทั้งการตายของแวมไพร์ที่ร่างกายจะค่อยๆ แหลกสลายและไหม้ไปเอง หรือแผลโดนยิงหัวก็ค่อยๆ สมานเอง รวมไปถึงเพลงประกอบที่เข้ากับบรรยากาศในยามค่ำคืนของ Los Angeles และหนังเรื่องนี้มีพากย์ไทยให้ฟังด้วย สำหรับคนไม่ชอบอ่านซับ จะลองดูก็ไม่เสียหาย แต่อย่าไปคาดหวังอะไรมาก

และอีกอย่างหนึ่งที่น่าเสียดายมากเลยก็คือ นักแสดงสองสาวสวยสุดเซ็กซี่ที่เหมือนจะเป็นตัวบอสอย่าง Sydney Sweeney กับ Megan Fox โผล่มานิดเดียว เป็นอะไรที่เสียของมาก โผล่ออกมาพูดไม่กี่ประโยคแล้วก็ไม่โผล่มาอีกเลยทั้งเรื่อง (ส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบคุณ Sydney มาก แถมเอาดาราเซ็กซี่เบอร์ใหญ่มาทำเสียของชะมัด)

เห็นได้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้ ได้นำองค์ประกอบจากสูตรสำเร็จในหนังต่างๆ ทั้งอาชญากรรม ทริลเลอร์ หรือแนวผีดูดเลือดที่มันเซ็ตอัพได้น่าสนใจ แต่แย่ตรงการนำเสนอ ไม่มีความสดใหม่หรือพลิกแพลงอะไร เน้นไปในส่วนที่ไม่ควรจะเน้น สิ่งที่ดีงามในเรื่องก็คืองานโปรดักชั่นที่ทำออกมาได้ดูดีเพียงอย่างเดียว แม้มันจะไม่ได้แย่มากในแง่ของการเป็นหนังแวมไพร์ แต่มันก็ไม่ได้ดีเด่นอะไรเลยเช่นกัน

รับชม Night Teeth เขียวราตรี ได้ทาง Netflix แล้ววันนี้

อ่านรีวิวหนัง/ซีรีส์อื่นๆ ได้ที่นี่

 

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!