playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Ozark (Season 1-2) ซีรีส์แนว Breaking Bad สุดเข้มข้นที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก

  • คะแนนซีซั่น 1 - 7.5/10
    7.5/10
  • คะแนนซีซั่น 2 - 9/10
    9/10

สรุป

เป็นซีรีส์ที่มีกลิ่นอายละม้ายคล้ายกับ Breaking Bad แม้ว่าซีซั่น 1 อาจจะออกตัวไม่ดี มีตะกุกตะกักบ้าง แต่ซีซั่น 2 คือความสนุกที่หยุดดูไม่ได้ ประเคนความมันส์ ความเข้มข้นและกดดันให้คุณแบบทุกตอน

Overall
8.3/10
8.3/10
Sending
User Review
0 (0 votes)
Comments Rating 0 (0 reviews)

Pros

  • เนื้อหาเข้มข้น กดดัน
  • ตัวละครแต่ละตัวมีเสน่ห์ และมีพัฒนาการในเรื่องที่ดี
  • จัดเต็มความดราม่าตลกร้าย และฉากชวนเหวอหลายฉาก
  • ภาพสวย เล่นกับมุมกล้อง และเฉดสีของภาพ ทำให้ดูกดดันมากขึ้น
  • ถ้าชอบ Breaking Bad ก็ควรดูเรื่องนี้ด้วย

Cons

  • ช่วงแรกของเรื่อง ดำเนินเรื่องค่อนข้างช้า และเรื่อยเปื่อยเกินไปหน่อย
  • บทของบางตัวละครจะงี่เง่าจนตั้งตัวไม่ทัน
  • บทพูดบางตอนเอื่อยเฉื่อยไปหน่อย (เฉพาะซีซั่นแรก)
  • ซีรีส์เฉพาะแนว ใครชอบก็ชอบมาก ไม่ชอบก็เกลียดไปเลย

Ozark โอซาร์ก คือซีรีส์ออริจินัลจาก Netflix ที่ได้รับรางวัล Emmy Award สาขากำกับยอดเยี่ยม ซึ่งหลายๆ คน อาจจะยังไม่รู้จักเรื่องนี้ โดยเนื้อหาในเรื่องมันจะเกี่ยวกับอาชญากรรมที่คลับคล้ายคลับคลากันกับซีรีส์ขึ้นหิ้งชื่อดังอย่าง Breaking Bad และจุดเด่นของซีรีส์ก็คือความกดดัน ลุ้นระทึกไปกับพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ของแต่ละตัวละคร มาดูว่า โอซาร์ก จะทำได้ดีเหมือนกับซีรีส์รุ่นพี่หรือเปล่า

 Ozark (2017) on IMDb
คะแนนเฉลี่ย IMDB

Ozark Season 1 Trailer

รีวิว Ozark Season 1 ปฐมบทแห่งความหายนะ

โอซาร์ก ซีซั่นแรก จะเป็นเรื่องราวของนักจัดการวางแผนทางการเงิน (Finalcial Planner) ที่ชื่อว่า มาร์ตี้ เบิร์ด (แสดงโดย Jason Bateman) ชายวัยกลางคนที่พยายามหาเงินเพื่อมาเลี้ยงดูจุนเจือครอบครัวตามประสา จนจับพลัดจับผลูได้เข้าไปหาเงินก้อนโตจากการฟอกเงินให้พ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่ แต่แล้วหุ้นส่วนของเขาดันไปโกงพ่อค้ายาคนนี้โดยที่เขาไม่ได้รู้เห็นอะไรเลย และพ่อค้ายาเสพติดต้องการที่จะจัดการผู้ที่เกี่ยวข้องและมีส่วนรู้เห็นทั้งหมดทิ้ง แต่ก่อนที่มาร์ตี้จะถูกฆ่า เขาคิดแผนเอาตัวรอดขึ้นมาแบบฉิวเฉียดด้วยการเสนอ สถานที่ฟอกเงินที่ใหม่ให้กับพ่อค้ายาคนนี้ เพื่อแสดงว่าเขาบริสุทธิ์ และยังมีประโยชน์ ไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา สถานที่นั้นคือชายฝั่งบ้านนอกที่ยาวยิ่งกว่าฟลอริด้า แถมมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวทุกปี และด้วยความบ้านนอก สรรพากรก็ไม่อยากจะเข้ามายุ่ง ที่แห่งนั้นก็คือ Ozark

ในตอนแรก เรื่องราวจะค่อยๆ เล่าถึงมาร์ตี้ เบิร์ด ว่าเขา มีปัญหาชีวิตอย่างไรบ้าง ในคราบที่ครอบครัวก็จะดูปกติสุขดี มีลูกชายคนเล็กและลูกสาวคนโต แต่ภรรยาของเขาแอบคบชู้กับชายอื่นอยู่ จนจู่ๆ ปัญหาในครอบครัวก็กลายเป็นเรื่องเล็กเมื่อพ่อค้ายาเสพติดสุดโฉดกำลังเอาปืนจ่อหัวพร้อมที่จะยิงเขา ทำให้มาร์ตี้ต้องพาครอบครัวของเขาทุกคน ย้ายจากเมืองกรุง ชิคาโก สู่บ้านนอกไกลปืนเที่ยง สาเหตุที่มาร์ตี้เลือกที่ โอซาร์ก ก็คือ แผ่นพับที่บังเอิญติดอยู่ในกระเป๋าของเขา ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดหรอกว่า จะต้องมาฟอกเงินในกลางป่ากลางเขาแบบนี้ แต่นี่เป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งของเขาและครอบครัว เพราะฉะนั้นเขาต้องทำมันให้ได้

ดูจากพล็อตเรื่องคร่าวๆ แล้ว หลายๆ คน คงจะคิดถึงเรื่อง เบรคกิ้งแบด ที่อาจารย์สอนวิชาเคมีใกล้ตาย ต้องการหาเงินจนกลายมาเป็นคนทำยาเสพติดส่งออกรายใหญ่ ในโอซาร์กก็คล้ายๆ กัน แต่ด้วยการดำเนินเรื่องในซีซั่นแรก หลายๆ อย่าง ต่างกันมาก เลยไม่อยากจะให้นำมาเทียบกันสักเท่าไหร่ เพราะในเบรคกิ้งแบด เราจะเห็นตัวละครหลัก ค่อยๆ เติบโตไปเป็นอาชญากร แต่ในโอซาร์กคือ คนที่มีเอี่ยวกับอาชญากรหรืออาชญากรรมอยู่แล้ว แล้วหาทางเอาตัวรอดเพื่อไม่ให้ตัวเองตายทั้งครอบครัว โดยนายมาร์ตี้เนี่ยเป็นคนที่ค่อนข้างจะใจเย็น และเป็นผู้ชายประเภทที่บ้างานจนเมียตัวเองไปมีชู้ ความสนุกมันเลยอยู่ที่ว่านายมาร์ตี้คนนี้ จะจัดการกับปัญหาต่างๆ ได้อย่างไร ในเมื่อเขาต้องมาฟอกเงินก้อนโตในบ้านนอกแบบนี้

ความสนุกต่อมาก็คือ ในการจะฟอกเงินเนี่ย มันจะต้องหาทางทำธุรกิจถูกกฏหมาย เพื่อนำเงินผิดกฏหมายไปเข้าระบบแล้วเปลี่ยนเป็นเงินถูกกฏหมายได้ นั่นคือนิยามง่ายๆ ของการฟอกเงิน แต่ในใจกลางบ้านนอก ที่จะมีนักท่องเที่ยวมาเฉพาะฤดูท่องเที่ยว แถมยังเป็นบ้านนอกกลางป่ากลางเขา มันจะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ อย่างไร? มันทำให้เราคิดตามและลุ้นไปกับมาร์ตี้ว่า จะต้องทำอะไรยังไงบ้างในการฟอกเงิน ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว มันก็ไม่ได้โชว์ หรือแสดงให้เห็นถึงวิธีการจริงๆ มากขนาดนั้น เพราะเรื่องราวจริงๆ มันเล่าลงลึกไปยังปมดราม่า ของแต่ละตัวละครในเรื่องต่างหาก

โดยในซีซั่นแรก ขอบอกเลยว่า ช่วงแรกค่อนข้างที่จะดำเนินเรื่องได้อืดอาดและยืดเยื้อมาก มันจะค่อยๆ เล่าแบบค่อยๆ เป็นค่อยไป ไม่ได้น่าติดตามอะไรขนาดนั้น แต่นั่นมันก็ทำให้เราเข้าใจตัวละครแต่ละตัวในเรื่องได้ดี ว่าเป็นใคร มาจากไหน ต้องการอะไร แล้วจะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในการฟอกเงินก้อนโตครั้งนี้

แม้ตัวละครจะไม่เยอะมากเท่าไหร่ แต่ขอบอกเลยว่า น่าสนใจ และเป็นแรงขับเคลื่อนความน่าดูของเรื่องได้แทบทุกตัวละครเลยทีเดียว เช่น เจ้าของบ้านที่มาร์ตี้ย้ายเข้ามาอยู่ เป็นชายแก่ที่ชื่อว่าบัดดี้ ป่วยและใกล้ตายเลยเปิดบ้านให้เช่าราคาถูกมาก แต่ข้อแม้ก็คือบัดดี้จะอยู่ในชั้นใต้ดินของบ้าน เป็นอีก 1 ตัวป่วนที่กลับมามีบทบาทสำคัญในซีซั่น 2 อย่างไม่น่าเชื่อ หรืออย่างตัวภรรยาของมาร์ตี้เอง ที่ทำผิดกับสามีไว้ด้วยการแอบคบชู้กับชายอื่น ทำให้เธอกลายเป็นอีก 1 ปัญหาคาใจของมาร์ตี้ ที่จะต้องแก้ทั้งปัญหาครอบครัว และปัญหาในการหาทางฟอกเงินก้อนโต ในเมื่อการที่จะหาธุรกิจที่ทำเงินเยอะๆ ได้ในบ้านนอก เพื่อฟอกเงิน มันก็ต้องไปมีกระทบกระทั่งกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ที่อยู่มาก่อน ซึ่งมาร์ตี้เองก็ดันไปขัดแข้งขัดขากับผู้มีอิทธิพลในนี้ มันจึงยิ่งเป็นความกดดันและทำให้เราคิดว่า มันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันแน่

แต่ในซีซั่นที่ 1 อะไรหลายๆ อย่าง ดูเนิบนาบเกินไป และบทของบางตัวละคร หรือหัวข้อบทพูดมันดูน่าเบื่อ ทำให้กราฟความสนุกของเรื่องในช่วงตอนที่ 1-8 มันขึ้นๆ ลงๆ อย่างมาก เดี๋ยวก็ลุ้น น่าติดตาม เดี๋ยวก็น่าเบื่อ อะไรก็ไม่รู้ มันเป็นแบบนี้ตลอด แต่ความพีคจริงๆ จะไปอยู่ที่ตอนท้ายๆ ซึ่งทำเอาเราคาดไม่ถึงและถึงกับอ้าปากเหวอไปเลยทีเดียว

จุดเด่นที่เห็นได้ชัดอีกอย่าง นอกจากตัวละครและพล็อตเรื่องที่น่าสนใจ คงจะเป็นทางด้านงานภาพที่นำเสนอได้ดี และค่อนข้างที่จะเล่นอารมณ์กับคนดูได้ในหลายๆ ฉาก มันเป็นความ Cinematography ที่นำเสนอออกมาให้เราเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ของซีรีส์ได้ดีมากยิ่งขึ้น และทั้งเรื่องของซีรีส์ เขาจะเกรดสีภาพให้ออกโทนสีฟ้าๆ หม่นๆ ดูขมุกขะมัว เพื่อสื่อให้เรารู้สึกว่าในความที่ดูสบายตา แต่มันก็มีความไม่น่าไว้ใจแฝงอยู่

โดยรวม Season 1 ทำออกมาได้ดีและถือเป็นการเปิดเรื่องความดาร์ค Drama ที่สนุก แต่ก็ยังไม่สุดเท่าไหร่ ด้วยความน่าสนใจของตัวเรื่อง และเซ็ตอัพของเรื่องทำได้ดี แต่บทพูด หรือดราม่าบางอย่างที่ดูยัดเยียดและน่าเบื่อเกินจำเป็น เลยจะขอให้คะแนนซีซั่นนี้เพียง 7.5 คะแนน ถ้าหากนำไปเทียบกับ Breaking Bad แล้วล่ะก็ ขอบอกว่ามันเทียบไม่ได้และเป็นคนละแบบกันเสียมากกว่า แต่ถ้าหากใครชอบแนวนี้ และทนดูได้ ขอบอกว่าควรทนดู เพราะอย่างที่เกริ่นไป นี่คือปฐมบทแห่งความหายนะ ความยุ่งเหยิง และความเข้มข้นระดับสูงสุดในซีซั่นที่ 2 ต่างหากล่ะ

รีวิว Ozark Season 2 จัดเต็มความเข้มข้นและความกดดัน

โอซาร์ก ในซีซั่นที่ 2 นี้ หลังจากที่ซีซั่นแรกตอนจบได้จบแบบทำเอาผู้ชมเหวอซะจนคิดในใจว่า เอาแบบนี้จริงๆ ดิ? มันทำให้ในซีซั่น 2 นี้มีเรื่องที่คาดไม่ถึง เพิ่มเติมความเข้มข้นของบทและความกดดัน รวมไปถึงการพัฒนาตัวละครแต่ละตัวในเรื่องที่เรียกได้ว่า ในความเดาได้ มีความเดาไม่ได้ซ่อนอยู่ ซึ่งซีซั่นนี้ ดีกว่าซีซั่นแรกอย่างมาก

เรื่องราวของโอซาร์กในซีซั่น 2 มันได้ขยายสเกลให้ใหญ่ขึ้น จากการที่ต้องฟอกเงินให้พ่อค้ายาเพื่อไม่ให้ตัวเองตาย กลับกลายเป็นว่าธุรกิจของมาร์ตี้ขยับขยายมากยิ่งขึ้น ทำให้ต้องไปมีเอี่ยวกับผู้มีอิทธิพล รวมไปถึงนักการเมืองอีกด้วย ซึ่งในจุดนี้ เวนดี้ เบิร์ด ภรรยาของมาร์ตี้ (ที่แอบคบชู้ในซีซั่นแรก) กลับกลายเป็นว่ามีบทบาทมาก ถึงมากที่สุดของซีซั่นนี้เลยทีเดียว และการขยับขายธุรกิจฟอกเงินนี้มันก็ไปเตะตาเจ้าหน้าที่ FBI ที่กำลังเล็งเด็ดหัวพวกพ่อค้ายาตัวเป้งๆ อีกด้วย แถมยังมีดราม่าระหว่างตัวของครอบครัวมาร์ตี้ และผู้ช่วยสาวแสบที่อยู่มาตั้งแต่ซีซั่นแรกอย่าง รูธ แลงมัวร์ ที่ได้ทำวีรกรรมไว้ในซีซั่นที่แล้ว มาซีซั่นนี้ พ่อตัวแสบของเธอได้ออกจากคุกมา และเพิ่มสีสันและความกดดันทำให้เนื้อเรื่องคาดเดาไม่ได้ขึ้นไปอีกสเต็ปหนึ่ง

อย่างที่เกริ่นไปในรีวิวของ Ozark Season 1 ว่าไม่อยากให้มันเทียบกับเบรคกิ้งแบด เพราะซีซั่นแรกมันดำเนินเรื่องเฉื่อยๆ ค่อยๆ ปูบทตัวละครจริงๆ พอมาซีซั่นนี้แล้วมันกลับกลายเป็นว่า เอากลิ่นอายของเบรคกิ้งแบดหลายๆ อย่างมาเลยล่ะ ทั้งตัวละครที่มีการพัฒนาไปสู่ด้านมืดขึ้นเรื่อยๆ รวมไปถึงความคาดเดาของพฤติกรรมตัวละครต่างๆ ที่ผีเข้าผีออก ดูเหมือนจะเดาได้ว่า ตัวละครนี้จะทำอะไร แต่ก็ไม่ทำไปทำอีกอย่างที่เราคาดไม่ถึงแทน ในซีรีส์สับขาหลอกเราได้อยู่หมัด ซึ่งในซีซั่นนี้ มีฉากเผชิญหน้ากับความตาย หลายต่อหลายฉาก และแต่ละฉากนั้น มีทำให้เราลุ้นและกดดันจนแทบลืมหายใจได้เลย ซีซั่นนี้ขอบอกเลยว่า ทั้งบทพูด ทั้งการดำเนินเรื่อง ทุกอย่าง อัพเกรดขึ้นมากจากซีซั่นที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด เพราะมันเข้มข้นและไม่น่าเบื่อเลย

สิ่งที่เด่นจริงๆ ในซีซั่นนี้ คือการพัฒนาตัวละครของ เวนดี้ เบิร์ด ที่เธอจะใช้ความสามารถในการเจรจากับนักการเมือง เพราะในอดีตเธอเคยทำงานให้กับโอบาม่า (ในเรื่อง) ช่วงหาเสียง แต่เธอก็ต้องออกมาเลี้ยงลูกและกลายเป็นแม่บ้านเกือบๆ 20 ปี ซึ่งพอสามีเธอเกือบถูกฆ่าเพราะฟอกเงิน ทำให้เธอต้องกลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและหาวิธีที่จะเอาตัวรอดด้วยการเจรจาทำธุรกิจระหว่างผู้มีอิทธิพลกลุ่มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวสเนลล์ ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ หรือพวกแก๊งค์ค้ายาจากซีซั่นแรกก็ยังเป็นตัวหายนะสำหรับเรื่องนี้อยู่ แต่สิ่งที่เพิ่มมาก็คือ การเจรจาระหว่างนักการเมืองท้องถิ่น รวมไปถึงแก๊งค์มาเฟียเมืองข้างเคียงอีก ทำให้ซีซั่นนี้มีปมปัญหาเทเข้ามาหาเหล่าตัวละครหลักอย่างมาก และทำให้เราลุ้นเอาใจช่วยว่า พวกเขาจะแก้มันได้ยังไง จะมีตัวละครไหนตายหรือเปล่า

มันไม่ได้มีปมแค่เรื่องฟอกเงิน แต่มันยังรวมไปถึงปัญหาในครอบครัว ของทั้งมาร์ตี้เอง หรือของรูธ แลงมัวร์ รวมไปถึงดราม่าของเจ้าหน้าที่เพ็ตตี้ ที่แอบตามจับครอบครัวเบิร์ดมาตั้งแต่ซีซั่นแรก ซึ่งซีซั่นแรกมันเหมือนเป็นการปูทางมาสู่ความเข้มข้นที่คาดเดาไม่ได้ของซีซั่นสองที่จะประเคนให้คุณในทุกๆ ตอน แบบจริงๆ แต่ก็มีบ้าง ที่บางตัวละครจะมางี่เง่าในตอนท้ายๆ ของซีซั่น ทำให้เราดูไป รู้สึกหงุดหงิดไป แต่นั่นน่าจะเป็นความตั้งใจของผู้เขียนบท ซึ่งมันทำให้เราดูแล้วหงุดหงิดตามตัวละครในเรื่องได้จริงๆ

เรียกได้ว่า โอซาร์ก ซีซั่น 2 ได้อุดช่องโหว่ต่างๆ และแก้ข้อเสียของซีซั่น 1 ทิ้งไปจนหมด แล้วกลายเป็นการดำเนินเรื่องสุดเข้มข้น ผสมความดาร์คและความดราม่า ที่สอดแทรกด้วยความตลกร้ายซึ่งมันมีกลิ่นอายของ Breaking Bad ได้อย่างดี การันตีความสนุกและความดีงามด้วยรางวัลกำกับยอดเยี่ยมจาก Emmy Award ปี 2018 ผมขอให้คะแนน โอซาร์ก Season 2 ที่ 9 คะแนน และขอยกให้เป็นอีก 1 ซีรีส์ที่ว่า ถ้าหากคุณชอบแนวอาชญากรรม ที่มันดาร์คๆ เรียลๆ กดดันๆ ล่ะก็ ต้องดูเลย เพราะซีซั่นที่ 3 กำลังจะมาในวันที่ 27 เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้

ตัวอย่าง Ozark Season 3

สามารถรับชม Ozark ทั้ง 2 ซีซั่นได้ทาง Netflix ที่นี่

อ่านรีวิวหนัง ซีรีส์ Netflix เรื่องอื่นๆ ภายในเว็บไซต์ได้ที่นี่

 

 

Leave a comment
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!