playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ

รีวิว The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ

สรุป

นี่คือ 1 ในซีรีส์สยองขวัญที่ควรถูกยกย่องให้เป็นที่สุดของยุค ด้วยการนำเสนอที่ทั้งหลอนชวนขนหัวลุก และเรื่องราวที่เข้มข้น ผูกปมคลายปมได้อย่างมีชั้นเชิง ฉากหลอนติดตา พร้อมทั้งแฝงแง่คิดต่างๆ ได้อย่างแยบคาย แม้คนที่ไม่ใช่คอหนังสยองขวัญก็ต้องยกนิ้วให้กับความสนุกของซีรีส์ที่นำเสนอให้เราได้อย่างดี

Overall
9.5/10
9.5/10
Sending
User Review
5 (2 votes)

Pros

  • หลอนจริง ขนลุกจริง
  • ฉากหลอนติดตามหลายฉาก
  • Jump Scare (ผีตุ้งแช่) แบบมีชั้นเชิง
  • ดราม่าและความเข้มข้นที่ชวนลุ้นตามทุกตอน
  • เทคนิคการนำเสนอชวนว้าว

Cons

  • ช่วงปลายเรื่อง ไคล์แมกซ์แผ่วไปนิดหนึ่ง
  • คนกลัวง่ายระวังหลอนไปหลายวัน ทำใจก่อนดู เพราะนี่คือซีรีส์ที่น่ากลัวสุดๆ

The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ นี่คือซีรีส์ Original Netflix แนวสยองขวัญที่จะทำให้ผู้ชมขนหัวลุก จัดเต็มทั้งฉากหลอน และเนื้อเรื่องที่เข้มข้น ดราม่าที่ชวนติดตามจนสามารถเรียกได้ว่านี่คือซีรีส์สยองขวัญยุคใหม่ที่ดีที่สุดแห่งยุคเลยก็ว่าได้

 The Haunting of Hill House (2018) on IMDb

ตัวอย่าง The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ

รีวิว The Haunting of Hill House

The Haunting of Hill House
The Haunting of Hill House

ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ ซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากหนังสือนิยายสยองขวัญชื่อดังในอดีตของปี 1959 แต่ได้ปรับ เปลี่ยนแปลงบทหลายๆ อย่างให้เหมาะกับการเป็นซีรีส์แต่ยังคงเค้าเดิมอยู่ ทั้งบ้าน ฉากสยองขวัญ และตัวละคร

ซีรีส์เรื่องนี้ จะเป็นเรื่องราวของครอบครัว เครน ที่มีคุณพ่อ คุณแม่ และพี่น้องอีก 5 คน ในอดีตครอบครัวเครนได้เข้ามาพักอาศัยอยู่ในบ้าน ฮิลล์เฮาส์ แต่ด้วยความหลอนของบ้าน ทำให้เกิดโศกนาฏกรรมบางอย่างขึ้น จนทุกคนได้เติบโตและแยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่แล้วเหตุการณ์ความหลอกหลอนของบ้าน ก็ตามมารังควานจนทำให้ครอบครัวเครนได้กลับมายังบ้านฮิลล์เฮาส์อีกครั้งหนึ่งเพื่อหยุดภัยร้ายที่จะเกิดกับชีวิตของคนในครอบครัวพวกเขา

ตัวซีรีส์มีทั้งหมด 10 ตอน ซึ่งจะค่อยๆ เล่าถึงเรื่องราว ความสัมพันธ์ต่างๆ ของทั้ง 5 พี่น้อง และสามีภรรยาตระกูลเครน ที่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านสุดหลอนแห่งนี้ และเกิดเหตุการ์ณไม่ชอบมาพากลขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนั่นเป็นพาร์ทอดีต ตัดสลับกับพาร์ทปัจจุบันที่พี่น้องเครน ได้แยกย้ายกันอยู่ มีครอบครัว หน้าที่การงาน หรือบางคนชีวิตก็เหลวแหลกเพราะเหตุการณ์ความหลอนของบ้านในอดีต

โดยทั่วไปแล้ว หนังสยองขวัญ หรือหนังผีเกี่ยวกับบ้านผีสิง ก็จะค่อยๆ เล่าเรื่องราวของแต่ละตัวละครที่เพิ่งย้ายเข้าไปยังตัวบ้านที่มีประวัติ แล้วประสบพบเจอกับสิ่งแปลกประหลาดต่างๆ ที่ค่อยๆ หลอนหนักขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดพีค อาจจะเป็นการเผชิญหน้า หรืออื่นๆ ไปจนถึงจุดไคลแมกซ์ที่เหล่าตัวละครก็หนีออกมาจากบ้านได้ แต่สำหรับเรื่องนี้ การหนีออกจากบ้านผีสิง คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวสุดหลอนชวนขนหัวลุกต่างหาก

เรื่องราว จะถูกแบ่งออกเป็น ช่วงเวลาอดีต เป็นช่วงที่ครอบครัวเครนเพิ่งย้ายเข้าไปอาศัยในฮิลล์เฮาส์ในปี 1992 จนเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น และช่วงเวลาปัจจุบัน ปี 2018 พี่น้องทั้ง 5 คนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ แยกกันใช้ชีวิตและมีครอบครัว แต่ยังคงโดนหลอกหลอนจากบ้านจนต้องกลับมารวมตัวกัน

ปี 1992 ครอบครัวเครน ประกอบไปด้วยคุณพ่อ ฮิวจ์ คุณแม่ โอลิเวียร์ และลูกๆ ซึ่งจะมี สตีเว่น(พี่ชายคนโต) เชอร์ลีย์(พี่สาวคนโต) ธีโอดอรา(ลูกสาวคนกลาง) และแฝดชายหญิง ลุคกับเนล ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในฮิลล์เฮาส์ชั่วคราว เพราะบ้านนี้ทำธุรกิจซื้อบ้านเก่า แล้วนำมารีโนเวทใหม่เพื่อนำไปขายต่อทำกำไร

26 ปีต่อมา ปี 2018 หลังจากเหตุการณ์สยองขวัญภายในบ้าน พี่น้องเครนก็แยกกันใช้ชีวิต และความสัมพันธ์ฉันพี่น้องก็ค่อนข้างจะห่างเหินกัน แต่ละคนก็จะพบกับปัญหาต่างๆ ในชีวิตมากมาย แต่ปัญหาเหล่านั้นมาจากต้นตอเดียวกัน นั่นก็คืออดีตจากบ้านฮิลล์เฮาส์

อย่างที่บอกไปตอนแรกว่า การดำเนินเรื่องนำเสนอ จะเป็นแบบ ตัดสลับช่วงเวลาปัจจุบันและอดีต ซึ่งทำได้กระชับ และเข้าใจง่าย เพียงแค่ดูตอนแรกไม่กี่นาทีก็พอจะรู้เรื่องราวคร่าวๆ ของซีรีส์ แล้วตัวเรื่องจะดำเนินต่อด้วยความหลอนที่ค่อยๆ คืบคลานเข้าหาผู้ชม ว่า ทำไมครอบครัวเครนถึงหนีออกมาจากบ้านหลังนั้น มันเกิดอะไรขึ้น แล้วทำไมคุณแม่โอลิเวียร์ถึงไม่ออกมาด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่บ้านหลังนั้น ซึ่งมันจะทำให้เราสงสัย และคอยติดตามดูว่าที่ฮิลล์เฮาส์มันมีอะไรกันแน่

ตั้งแต่ EP 1-5 จะเป็นการเล่าถึงแต่ละตัวละครเลยว่า ในปัจจุบันหลังหนีออกจากบ้านผีสิง แต่ละคนทำอะไรอยู่ เจออะไรกันมาบ้าง อย่างสตีฟก็กลายเป็นคนที่ไม่เชื่อในเรื่องผีสาง วิญญาณหลอน แต่ดันเขียนนิยายสยองขวัญจนขายดิบขายดี และเล่าแบบตัดสลับกับช่วงเวลาในอดีต เพื่อเทียบเคียงกันเป็นระยะ และเฉลยปมไปทีละนิดละหน่อย แต่ละตัวละครก็มีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจมาก ในแต่ละ EP ก็จะมีจุดเฉลยปมที่บอกได้เลยว่า พีคทุกตอน

Long Take ชวนขนหัวลุก

ในตอนแรกสุด จุดเฉลยปมจะนำพาให้ตัวละครในครอบครัวทุกคน ต้องกลับมารวมตัวกันโดยมีความเกี่ยวพันกันกับบ้านผีสิงที่คนในครอบครัวทุกคนอยากที่จะลืมๆ มันไป ในตอนที่ 6 ที่แต่ละตัวละครกลับมารวมกัน มันจะมีการนำเสนอแบบ Long Take (ไม่ใช่ลองเทคแบบหนังแอคชั่น แต่นำเสนอไปเรื่อยๆ) ที่เรื่องจะดำเนินไปเรื่อยๆ ตอนที่รวมกันในแบบที่ Non-Stop กว่าครึ่งชั่วโมง แถมยังตัดสลับกับพาร์ทอดีตได้อย่างลื่นไหล และแทรกความหลอนเข้ามาเป็นระยะๆ ทำให้ผู้ชมรู้สึกอึดอัด และขนลุกแบบที่แทบไม่ให้พักหายใจในตอนที่ 6 ของซีรีส์

สิ่งที่ทำให้คนดูอินไปกับเรื่องราวของซีรีส์ คงจะเป็นการนำเสนอใน EP1-5 ที่จะใช้การเล่าเรื่องในแบบบุคลที่ 1 หรือเล่าผ่านตัวละครตรงๆ ทำให้เรารู้สึกเข้าใจ และรับรู้ได้ว่า ตัวละครพวกนี้ ผ่านอะไรมาบ้าง คิดอะไร ใช้ชีวิตอย่างไร และทำให้เรารู้สึกอินไปกับมันได้ง่าย แถมยังหลอนตามตัวละครไปอีก และในตอนที่ 6 ก็จะใช้การเล่าเรื่องแบบมุมมองบุคลที่ 3 ที่จะพาเราไปตามติดชีวิตของทุกคนมาว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง และหลังจากนั้นก็จะใช้การเล่าสลับกันระหว่างมุมมองของตัวละคร และของอีกคน แม้ว่ามันจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน แต่สามารถนำเสนอในอีกมุมมอง กลายเป็นคนละอารมณ์ไปเลย ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องที่ชาญฉลาดในการนำเสนออย่างมาก

แม้จะเป็นซีรีส์สยองขวัญ แต่ด้านดราม่าก็เข้มข้นและน่าติดตามไม่แพ้กัน ไม่ต่างกับหนังชีวิตดีๆ เรื่องนึงเลยล่ะ ทั้งการสะท้อนถึงปัญหาต่างๆ นาๆ ของตัวละคร ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว มีฉากดราม่าดีๆ หลายฉากที่ยิ่งทำให้เราอิน จนอาจจะต้องน้ำตาซึมในตอนจบก็ได้ มันเลยกลายเป็นหนังผีที่ไม่ได้เน้นแค่ความน่ากลัวขนหัวลุกอย่างเดียว แต่มัน “มีมิติ” มากกว่าหนังผีทั่วๆ ไป

แล้วซีรีส์เรื่องนี้ น่ากลัวแค่ไหน? สำหรับตัวผู้เขียนเองคงตอบแทนทุกคนไม่ได้ว่ามันน่ากลัวมาก หรือน้อย ซึ่งจะค่อยๆ จำแนกให้ผู้อ่านพิจารณากันนะครับ เพราะบางคนก็บอกว่า ดูจนจบก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น แต่บางคนก็ดูแล้วขนหัวลุก หลอนจนนอนไม่ค่อยหลับเลยก็มี

ซีรีส์เรื่องนี้ต้องยกนิ้วให้กับการนำเสนอจริงๆ ทั้งด้านเนื้อเรื่อง และการนำเสนอความสยอง ที่บอกได้เลยว่าเป็นการผสมผสานสิ่งที่มีในหนังผี มายำรวมๆ กัน แล้วอัพเกรดจนเป็นความคาดไม่ถึง เพราะมันจะไม่ได้นำเสนอแบบหลอกให้ตายใจ แล้วเล่นงานผู้ชมทีเผลอด้วยฉากตุ้งแช่ (ซึ่งมันก็มีฉาก Jump Scare หลายฉาก) แต่มันจะนำเสนอความหลอนในแบบที่ไม่ค่อยจะซ้ำกันเลยทั้งเรื่อง ผู้ชมเลยเดาไม่ถูกว่ามันผีมันจะโผล่ตอนไหน

ในช่วงแรก ตัวซีรีส์จะนำเสนอฉากน่ากลัวในแบบทั่วไป นั่นก็คือฉากจะค่อยๆ มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วเสียงจะค่อยๆ เงียบลง อาจจะมีเสียงแบคกราวที่ฟังดูน่ากลัวคลอมา แล้วผีก็โผล่ ตัวละครตกใจ นี่คือสูตรสำเร็จฉากผีทั่วไป แต่สำหรับเรื่องนี้มันจะสลับสับเปลี่ยนจังหวะการหลอก ในแบบที่ว่า คนดูอาจจะตั้งตัวทัน ฉากนั้นอาจจะไม่มีอะไร หรือจู่ๆ มันก็โผล่มา ทำให้เราไว้ใจไม่ได้เลย มันเลยทำให้การดูซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นความหวาดระแวงในจังหวะที่ผีจะโผล่ออกมาว่า มันจะ Jump Scare ไหม หรือแค่เป็นฉากหลอนๆ ชวนขนหัวลุกที่พอรับได้ หรือบางฉากก็ชวนหลอนเสียจนติดตา

และความน่ากลัวมันจะไม่ใช่การที่ผีออกมาแบบตุ้งแช่ แต่มันจะค่อยๆ คุกคาม ตัวละครในเรื่อง รวมไปถึงผู้ชม ที่มันทำให้เรารู้สึกในบางฉากน่า น่ากลัวมาก หรือบางฉากก็แค่รู้สึกมัน Creeppy มีหลากหลายอารมณ์ความน่ากลัว มันแสดงให้เห็นเลยว่า ไอ้ผีในบ้านเนี่ย มันดุมากแค่ไหน

การนำเสนอความน่ากลัวอีกอย่างที่ชอบมากสำหรับเรื่องนี้เลยก็คือ ความน่ากลัวผ่านบทพูดของตัวละคร มันอาจจะเป็นเหมือนเรื่องเล่าสยองในสองบรรทัด ที่สั้นๆ แต่ Impact ความรู้สึกจนทำให้เราคิดตามจนหลอนได้ และบางทีมันก็น่ากลัวเสียยิ่งกว่าการได้เห็นผีโผล่ออกมาโต้งๆ ในแต่ละฉากเสียด้วยซ้ำ

และในฉากสยองขวัญพวกนี้ ไม่เพียงแค่จะมาทำให้ผู้ชมรู้สึกน่ากลัว และหลอน แต่มันยิ่งช่วยเสริมด้านเนื้อเรื่อง ดราม่าของตัวละคร ที่พีคแล้ว พีคขึ้นไปอีก อย่างผีที่เป็น Iconic ของซีรีส์เรื่องนี้และถูกกล่าวขวัญมากที่สุดก็คือ “Bent-Neck Lady” หญิงสาวคอหัก ที่เป็นฉากสยองที่ตราตรึงและยังเฉลยปมไคล์แมกซ์ของตอนที่ 5 ได้แบบที่ผู้ชมคาดไม่ถึง ยิ่งทำให้ความน่ากลัวโดยรวมของเรื่องยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก

สรุปแล้ว ความน่ากลัว ฉากสยองของซีรีส์ The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ มันเป็นความสยองแบบมีระดับ มีคลาส ชาญฉลาดในการนำเสนอ ไม่ใช่แค่หลอนตุ้งแช่แล้วจบไปแบบหนังผีชั้นเลว มีชั้นเชิง แต่จะให้บอกว่ามันน่ากลัวมาก หรือน้อย คงบอกไม่ได้จริงๆ เพราะมันขึ้นอยู่กับตัวบุคลที่ดู ถ้าหากให้คะแนนความถี่ของฉากหลอนๆ ก็คงอยู่ราวๆ 6/10 คะแนน ไม่ได้โผล่มาบ่อย แต่โผล่มาทีก็มีขนลุกกันบ้าง

ซีรีส์เรื่องนี้อยากจะบอกว่า มันดำเนินเรื่องได้แบบ เนิบนาบ ไปอย่างช้าๆ เพราะแต่ละตอน ความยาวมันประมาณ 1 ชั่วโมง “แต่” ในความช้าของการดำเนินเรื่องนี้ กลับกลายเป็นอะไรที่น่าติดตาม เพราะมันจะดำเนินเรื่องผ่านบทสนทนา ค่อยเป็นค่อยไป แต่กลายเฉลยปมปริศนามันทำได้ในช่วงเวลาที่พอดี และเหมาะเจาะ ยิ่งทำให้เนื้อเรื่องเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการวางโครงเรื่องที่สลับซับซ้อน แต่ก็ไม่ได้เข้าใจยากจนปวดหัว ยิ่งทำให้ยิ่งดูยิ่งติดพัน (เว้นว่าใครจะเป็นคนขี้กลัวแบบผู้เขียน ต้องใช้เวลาทำใจสักพักกว่าจะดูตอนต่อไปได้)

นอกจากเรื่องดราม่า ความสยองแบบเหนือชั้น การนำเสนอเรื่องราวที่เข้มข้น สิ่งที่รู้สึกได้ก็คือกลิ่นอายจากนิยายและหนังของสตีเฟนคิงส์ โดยเฉพาะธีมสถานที่สุดเฮี้ยนสุดหลอน หลายๆ อย่างในเรื่อง ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกขวัญ มีส่วนคล้ายคลึงกับ The Shinning โรงแรมผีนรกอย่างมาก ทั้งวิญญาณหญิงสาว วิญญาณเจ้าบ้าน วิญญาณเด็กเสื้อฟ้า และ “ห้องแดง”(The Red Room) ซึ่งอันนี้ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าสตีเฟนคิง ได้แรงบันดาลใจมากจากฮิลเฮาส์ หรือว่าฮิลล์เฮาส์ได้แรงบัลดาลใจมาจากไชนิ่งกันแน่ (แต่หนังสือฮิลล์เฮาส์ออกตอนปี 1959 เดอะไชนิ่งปี 1977)

ถ้าหากใครเคยดูหนัง The Shining และ Doctor Sleep ที่เป็นภาคต่อ ก็คงจะรู้รายละเอียดเกี่ยวกับตัวบ้านได้เลย เพราะมันมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก เลยไม่ค่อยจะเซอร์ไพรส์ในส่วนนี้เท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้เหมือนกันจนหมดเสียทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นรูปแบบเดียวกันก็ว่าได้ (หลังซีรีส์เรื่องนี้ออก สตีเฟนคิงส์เองก็ได้ดูและให้คำชมว่าเป็นผลงานชั้นยอด)

เป็นที่น่าเสียดายที่ในตอนจบของ The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ มันจะดูแผ่วลง เพราะตอนก่อนหน้านี้เหมือนมันอัดใส่เต็มให้ผู้ชมมามากพอแล้ว แต่ตอนที่ 10 มันเป็นการที่ค่อยๆ เฉลย คลี่คลายปม ให้แต่ละตัวละครได้คำนึงถึงอะไรหลายๆ อย่างที่ผ่านมา และที่น่าเสียดายอีกขั้นก็คือ การที่ซีรีส์เลือกที่จะไม่เฉลยเรื่องราวรายละเอียดที่ “ชัดเจน” เกี่ยวกับตัวบ้าน ว่ามันคืออะไรกันแน่ ประวัติของตระกูลฮิลล์ที่เคยเป็นเจ้าบ้าน แล้ววิญญาณที่โผล่ออกมา มาจากไหน คือใคร ทำไมถึงตามหลอน ก็จะไม่เฉลยในส่วนนี้ แต่จะเป็นการให้ผู้ชมตีความสิ่งที่ได้ดูมามากกว่า

แม้ว่าตอนสุดท้ายเรื่องราวจะดูดรอป และแผ่วๆ ลงในด้านความสยองขวัญ แต่ก็ถูกทดแทนด้วยฉากดราม่าซึ้งๆ ที่เราเหล่าผู้ชมได้ร่วมผจญมากับตัวละคร ทำให้มันกลายเป็นตอนจบที่มีหลากหลายอารมณ์ ทั้งเอาใจช่วยให้พวกเขาผ่านพ้นวิกฤตินี้ไป ถ้าหากใครอินมากรับรองว่ามีน้ำตาซึมเลยล่ะ

สุดท้ายแล้ว แม้เรื่องราวของซีรีส์จะจบไป ซึ่งหลายๆ อย่างก็ต้องอาศัยการตีความ อย่างเช่นเรดรูม หรือชีวิตอื่นๆ ที่บางอย่างมันเป็นเหมือนสัญลักษณ์แทนช่วงวัย หรือปัญหาชีวิตของคน ที่มันแนบมาในตัวซีรีส์ได้เนียนไปกับเรื่อง ที่ทำให้เราต้องมองลึกๆ ลงไปว่า มันเป็นแบบนี้นี่หว่า

นี่คือซีรีส์สยองขวัญแห่งยุคใหม่ ที่หาเรื่องไหนเปรียบได้ยากมาก การันตีความสยองและความสนุก เข้มข้น โดยผู้ชมทั่วโลก และกำลังจะมีภาคใหม่ที่ชื่อว่า The Haunting of Bly Manor ที่เนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวข้องกันกับภาคแรก หรืออาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกัน ต้องรอติดตามกันให้ดี ถ้าใครคิดที่จะดู กลัวว่ามันจะน่ากลัวเกินไป ก็อยากจะบอกว่าคุณคิดไม่ผิดหรอก มันน่ากลัวจริงๆ แต่ถ้าคุณใจกล้าพอ หรือมีคนคอยนั่งข้างๆ ดูด้วยกันล่ะก็ นี่จะเป็นอีก 1 เรื่องโปรดของคุณ

รับชม The Haunting of Hill House ฮิลล์เฮาส์ บ้านกระตุกวิญญาณ ได้ทาง Netflix

อ่านบทความรีวิวอื่นๆ ได้ที่นี่

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!