playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Eternals การฉีกแนวของมาร์เวลที่อาจยังไม่ถูกใจใครหลายคน (ไม่สปอยล์)

สรุป

การฉีกแนวครั้งสำคัญของมาเวลที่ดีไม่พอ เพราะด้วยการเล่าเรื่องที่ตัดสลับไปมาระหว่างปัจจุบันที่ขาดตอนกับเรื่องราวที่อิงจากประวัติศาสตร์โบราณจริง ๆ ของโลก จังหวะและความยาวของหนังที่ยาวเกินไปกับเรื่องราวแบบสูตรสำเร็จในช่วงแรก และช่วงหลังที่มีความแปลกใหม่ มีความสำคัญ และการเฉลี่ยบทที่ค่อนข้างไม่ลงตัวและไม่จำเป็นของตัวละคร แม้การแสดงจะดีมาก การถ่ายทำและซีจี องค์ประกอบจะยอดเยี่ยม แต่ไม่สามารถอุดรอยรั่วที่เห็นได้ชัดและทำให้หนังมีข้อบกพร่องมากมายเกินจะมองข้าม

Overall
6/10
6/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เรื่องราวที่สะท้อนความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้งมากกว่าการเป็นฮีโร่
  • การแสดงของนักแสดงที่ดีทุกคน
  • การถ่ายทำและจัดองค์ประกอบในทุกฉากที่งดงามมาก ๆ
  • ซีจีและโปรดักชั่นระดับหนังฟอร์มยักษ์
  • ช่วงหลังที่หักมุมและไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ มาเวลตัดตัวอย่างหลอก
  • พากย์ไทยดีงาม

Cons

  • การเล่าเรื่องช่วงแรกค่อนข้างสูตรสำเร็จ ตัดสลับไปมาชวนงง
  • อารมณ์ของเรื่องราวไม่สม่ำเสมอ
  • การเฉลี่ยบทตัวละครที่ไม่ดีและตัวละครแบนราบและไม่น่าเชื่อ
  • หนังยาวมาก แต่ไม่สามารถโฟกัสตัวละครใดได้เลย

Eternals (ฮีโร่พลังเทพเจ้า) ภาพยนตร์อเมริกันดราม่าซูเปอร์ฮีโร่ ดัดแปลงจากหนังสือการ์ตูนของแจ็ค เคอร์บี้ สร้างจากเผ่าพันธุ์ อิเทอร์นัลส์ ของ มาร์เวลคอมิกส์ ผลิตโดยมาร์เวลสตูดิโอส์ ภาพยนตร์เรื่องที่สามของ เฟส 4 กำกับโดย โคลอี เจา ผู้กำกับหญิงเจ้าของออสการ์จาก NOMADLAND นำแสดงโดย เจมมา ชาน, ริชาร์ด แมดเดน และแอนเจลีนา โจลี ภาพยนตร์ฉีกเรื่องราวในจักรวาล MCU ใหม่ผ่านมุมมองของ อีเทอร์นัลส์ เผ่าพันธ์อันทรงภูมิและทรงพลังที่ได้ลงมาที่โลกเพื่อเป้าหมายบางอย่าง จนกระทั่งทุกอย่างเปลี่ยนไป และภัยร้ายใหม่กำลังจะคืบคลานเข้ามา ไม่มีอเวนเจอร์สอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของพวกเขาที่จะรวมพลังกันปกป้องโลกจาก ดีเวียนส์ สิ่งมีชีวิตที่ผิดพลาดที่กัดกินโลกใบนี้ โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างเสียงฮือฮา ในฐานะภาพยนตร์มาเวลที่ได้รับคะแนนเสียงแตกแห่งปีจากนักวิจารณ์ จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทุกคนต้องจับตามองในตอนนี้ และทางดิสนีย์พลัสอาจจะนำมาฉายในต้นปีหน้า

 Eternals (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Eternals

รีวิว Eternals

ปฐมกาลนานมาแล้ว เหล่าผู้ทรงอำนาจผู้สรรค์สร้างจักรวาลได้มอบภารกิจให้เหล่า อีเทอร์นัลส์ สิ่งมีชีวิตอันทรงพลังในจักรวาล เดินทางลงมาที่โลกของเราเพื่อภารกิจในการปราบปรามดีเวียนส์ที่แอบแฝงอยู่ในโลก เพื่อไม่ให้โลกนั้นต้องพบเจอกับจุดจบ เหล่าอีเทอร์นัลส์ต่างมีพลังวิเศษที่แตกต่าง และรูปลักษณ์ที่หลากหลาย เปรียบเสมือนเชื้อชาติและต้นกำเนิดของมนุษย์ในจักรวาลและคอยพัฒนาส่งเสริมให้มวลมนุษย์ก้าวหน้ามากว่า 5,000 ปี แต่ในปัจจุบัน ภายหลังเหตุการณ์ใน Avengers: Endgame การกระทำของอเวนเจอรส์ได้ทำให้โลกนั้นเข้าใกล้วันสิ้นสุดที่เรียกว่า การอุบัติที่จะเกิดภัยพิบัติครั้งยิ่งใหญ่ที่จะทำลายดาวทั้งใบ อีเทอร์นัลส์จึงต้องรวมพลังกัน ออกเดินทางรอบโลก เพื่อตามหาต้นตอและยับยั้งมันก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน จิตใจของพวกเขาเองก็เปลี่ยน และนั่นอาจทำให้เรื่องที่เคยยากอยู่แล้ว ยิ่งกลายเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เข้าไปอีก

นี่เป็นภาพยนตร์มาเวลที่เล่าเรื่องแปลกแหวกที่สุด เล่าเรื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ก่อนจะตัดเป็นอดีตแล้วก็เป็นปัจจุบัน แล้วก็ตัดเฉลยเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นอีกทีแล้วก็กลับมาเดินเรื่องต่อ ทำให้ถ้าเกิดไม่ได้โฟกัสกับเรื่องราวก็จะงงกับเรื่องราวมาก ๆ ดีไม่ดีถึงขั้นเบื่อเลย ต้องยอมรับว่าเนื้อเรื่องมันค่อนข้างจะเป็นสูตรสำเร็จในระดับหนึ่ง มีมุกตลกประปรายแซะแซวกันไปมา ในช่วงแรก ตัวละครหลักในเรื่องเยอะจัง หาจุดโฟกัสแต่ละคนแทบไม่เจอ แม้หนังจะพยายามไล่ตัวละครและมอบความสำคัญ แต่บางครั้งการที่ตัวละครเหล่านี้ถูกเฉลี่ยบทแบบแปลก ๆ และเล่าผ่านแฟลชแบ็คอดีต มันทำให้เราไม่สามารถอินกับเรื่องราวได้มากพอ สเกลของเรื่องจึงถูกนำเสนอออกมาได้ค่อนข้างเบาและเรื่อยเปื่อย กระทั่งเข้าสู่ครึ่งหลังที่หนังพลิกตัวเองเป็นหนังดราม่าหักมุมและเปี่ยมไปด้วยความสะเทือนอารมณ์ มันช่วยยกระดับให้ตัวละครที่เราไม่อินในตอนแรกให้อินได้เพิ่มขึ้นบ้าง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเทียบกับเรื่องอื่น ๆ เราแทบไม่แคร์ตัวละครหรือรู้สึกร่วมได้เลย ตัวละครเหล่านี้มันมีมิติเดียวด้วยแหละมั้ง แบบดีก็ดีไปเลย ร้ายก็ร้ายไปเลย ซึ่งมาเวลเลยจุดนั้นมานานแล้ว ที่ทำให้หนังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่าทำไมตัวละครต้องเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้ ก่อนจะจบเรื่องราวที่แปลกกว่ามาเวล ถือว่าเซอร์ไพรส์จริง ๆ หลังจากที่โดนว่าหนังมาเวลเป็นแค่หนังสวนสนุกซูเปอร์ฮีโร่ หนังเรื่องนี้เลยกลายเป็นหนังบุกเบิกประวัติศาสตร์วัฒนธรรมมนุษย์โบราณในคราบหนังซูเปอร์ฮีโร่ไป

ด้วยความยาวของหนังกว่าสองชั่วโมงครึ่ง ถ้าใครไม่ชินกับความยาวก็คงไม่ชอบไปเลย แถมตัวละครในเรื่องก็เหมือนถูกโปรแกรมหุ่นยนต์ตั้งไว้แล้วค่อยให้มีปมทีหลัง เซอร์ซี หญิงสาวผู้ต้องก้าวขึ้นเป็นผู้นำในภารกิจสำคัญ อิคาริส ชายหนุ่มผู้มีพลังปล่อยลำแสงจากดวงตาและเคลือบแคลงอุดมการณ์ของตัวเอง ธีน่า หญิงผู้กล้าแกร่งที่มีปัญหากับร่างกายที่ทำให้เธอกลายเป็นตัวประหลาด คิงโก ชายอารมณ์ขันที่มีพลังในการแสดง ฟาสตอส นักประดิษฐ์ผู้สร้างเทคโนโลยีให้มวลมนุษย์ อาแจ็ก ผู้นำอันเก่าแก่ผู้มีพลังในการเยียวยา สไปรท์ หญิงสาวที่ถูกสร้างให้เป็นเด็กผู้หญิงไม่มีวันเติบโตและสามารถสร้างภาพลวงตาได้ กิลกาเมซ ชายที่ทรงพลังและคอยเป็นสายตะลุยให้ทุกคน ดรูอิด ชายหนุ่มรักสงบที่มีพลังในการควบคุมจิตใจของสิ่งมีชีวิตและเบื่อหน่ายกับภารกิจ และ มาคารี หญิงหูหนวกที่มีพลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเหนือโลก ซึ่งบางตัวละครก็จะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงแบบครอบครัวที่จะค่อย ๆ ขยายออกมาในเนื้อเรื่องอีกด้วย เป็นหนังปฐมบทที่ค่อนข้างใช้ตัวละครสิ้นเปลืองมาก แม้จะพยายามใช้การเกลี่ยบท เกลี่ยความสำคัญของตัวละคร มากกว่าการออกฉาก แต่ก็รู้สึกว่าตัวละครบางตัวก็ไม่มีความจำเป็นหรือถูกตัดบทเลยก็ยังได้เพื่อให้หนังมันกระชับขึ้นบ้าง

ประเด็นในเรื่องคือส่วนที่ชอบที่สุด มันพูดถึงความเป็นมนุษย์ผ่านสายตาของสิ่งมีชีวิตนอกโลก สิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมนุษย์คือความดีและความเลว มันทั้งงดงามและน่ารังเกียจ ธรรมชาติไม่ได้สรรค์สร้างให้มนุษย์เป็นคนดี แต่ทำให้มนุษย์มีชีวิต ตัวตน และจิตใจไม่ว่าจะเป็นอย่างไร วัฒนธรรมที่มนุษย์ยอมรับและสรรค์สร้างคือความสวยงามของชีวิต ถือว่าเป็นปรัชญาพอ ๆ กับบทพูดที่แฝงอะไรมากมายเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็น ความรักอย่ารีรอ ความเกลียดชังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของทุกสิ่งแต่ก็ยังหาทางที่จะเข้าใจและอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว ความศรัทธาเป็นหนทางของความรัก ชีวิตของมนุษย์นั้นไม่ควรถูกจำกัดด้วยฐานะ ชนชั้น เพศ การศึกษา เชื้อชาติ และสีผิว โดยใช้ตัวละครอีเทอร์นัลส์ที่เป็นตัวแทนในการเรียนรู้มนุษย์ และมันก็จะนำไปสู่ความเข้าใจและการยอมรับความจริงในตัวเองและมนุษย์โลกว่า มันเป็นอย่างไร หรือการตัดสินใจบางอย่างบางครั้งก็ต้องตัดสินใจตามที่ใจต้องการมากกว่าคำสั่ง ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยเราก็มีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของเรา ไม่ใช่ให้ใครมากำหนด เพื่อมีชีวิตเป็นของตัวเอง มนุษย์นั้นถูกเชื่อมโยงทางจิตใจ ความสัมพันธ์ และร่างกาย นั่นแหละที่ทำให้คนเรานั้นมีสังคมและกลมกลืนสามัคคีเป็นหนึ่งเดียว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

ในส่วนของนักแสดง ก็ต้องบอกเลยว่า เจมม่า ชาน ในบทเซอร์ซี คือตัวที่เด่นที่สุดในเรื่องและบทบาทของเธอก็อาจจะธรรมดาแบนราบไปหน่อย แต่ด้วยการแสดงของเธอที่เปี่ยมด้วยหัวใจและความมุ่งมั่นทำให้เธอเป็นตัวละครที่น่าจับตามอง รองลงมาก็ ริชาร์ด แมดเดน ในบท อิคาริส ที่มาในแบบฮีโร่ซูเปอร์แมน แต่จริง ๆ เขาเองก็หวาดกลัวและมีปมในใจเหมือนกัน แม้จะดูแข็ง ๆ ไปหน่อยเพราะบทหรือบุคลิกแต่ในตอนท้ายเขาก็โชว์การแสดงที่ดีได้เหมือนกัน แอนเจลีนา โจลี แม่ก็คือแม่ออกมาฉากไหนก็เท่ ออกมาฉากไหนก็เอาใจช่วย ทั้งสวย สง่า แม้บทจะไม่ให้โชว์การแสดงได้เท่าที่ควร แต่ก็ทำให้ผมอินกับตัวละคร ธีน่าได้ ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตามมาตรฐานก็แสดง ไม่รู้เหมือนกันว่าจะชมอะไร มาเวลแคสมาถูกคนตลอด บทน้อยบทมากก็สำคัญทั้งนั้น แต่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือองค์ประกอบโปรดักชั่นในการถ่ายทำที่สวยแทบจะทุกเฟรม มองเห็นธรรมชาติเป็นหนึ่งเดียวกับตัวละคร ซีจีมีไม่มากแต่ก็ไม่มีลอยให้เห็น มุมกล้องที่แปลกใหม่และให้อารมณ์ที่เหมือนหนังอินดี้กึ่งปรัชญาและนำเสนอภาพของมนุษย์ได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม แต่ละฉากโคลอี้ เจา สามารถถ่ายทอดมันออกมาได้อย่างดีเลิศ ไม่ว่าจะฉากแอ็คชั่น ฉากดราม่า ฉากตลก มันแตกต่างจากมาเวลโดยสิ้นเชิง แต่ก็น่าจะเป็นสาเหตุที่ความงามของหนังไม่สามารถถูกพยุงได้มากเท่าที่ควร ดนตรีประกอบก็ได้ รามิน จาวาดี ผู้ประพันธ์จาก Game Of Thrones ที่ทำให้หนังดูอลังมากกว่า พร้อมเพลงประกอบที่ใช้ในหนังบางเพลงก็เข้า บางเพลงก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้เพลงนี้ มันดูไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควร

สรุป

Eternals คือ การฉีกแนวของมาร์เวลจากการเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพล็อตต่อสู้กับเหล่าร้ายแบบชัดเจน เป็นการต่อสู้ทางปรัชญาและอุดมการณ์ และการใช้ตัวละครที่มีมากกว่าสิบชีวิตในหนังเรื่องเดียวคงจะยังไม่เวิร์คเท่าไหร่สำหรับการเฉลี่ยความสำคัญของตัวละครและการโฟกัสของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทำให้มันเป็นเป็นหนังเอกเทศในเฟส 4 ที่ไม่ต้องตามมาก่อนก็สามารถก้าวเข้าสู่โลกในหนังได้ แม้หนังจะยาวเกินความจำเป็น แต่นอกนั้นมันก็เป็นหนังที่ทุกคนควรได้สัมผัสถึงความงดงามของมนุษย์ โดยที่ตัวละครหลักนั้นไม่ได้มนุษย์ ภาพรวมของความรู้สึกและความจริง สัจธรรมและเป้าหมาย การแสดงที่ดีแม้ว่าจะรู้สึกว่าไม่ได้ใช้เท่าที่ควร โปรดักชั่นที่จัดเต็ม ซีจีที่สมจริง และงานภาพที่สวยกว่าภาพยนตร์มาเวลเรื่องไหน ๆ ที่มีมาก็พอจะคุ้มในการเข้าไปดูในโรงแล้วสำหรับแฟนมาเวล ซึ่งถ้าพูดมาขนาดนี้ ถามว่าชอบมั้ย ชอบในระดับนึง แต่ไม่เท่าชาง-ชีที่ทุกอย่างดูกลมกล่อมเกินกว่าการพยายามทำให้หนังเรื่องนี้เป็นงานศิลปะจนละเลยความสำคัญในการเล่าเรื่องไป ซึ่งน่าเสียดายมาก ๆ แต่อย่าไปสนใจนักวิจารณ์เลยครับ ลองไปสัมผัสดูในโรงภาพยนตร์ หรือถ้าไม่พร้อมก็รอชมปีหน้าเอา

วันนี้ ในโรงภาพยนตร์

2022 ทาง ดิสนีย์พลัส

  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
  • อยากอ่านรีวิวซีรีส์จักรวาล MCU ในเฟส 4 เพื่อความต่อเนื่องทั้งหมด สามารถกดอ่านในข้อความชื่อเรื่องข้างล่างนี่เลย

WANDAVISION, FALCON AND THE WINTER SODIER, LOKI, WHAT IF…?, BLACK WIDOW, SHANG-CHI

 

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!