playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว High School Musical: The Musical: The Series เพราะชีวิตมัธยมนั้นมันไม่ง่ายเลย (ไม่สปอยล์)

  • High School Musical: The Musical: The Series SS1 - 7.5/10
    7.5/10
  • High School Musical: The Musical: The Series SS2 - 6.5/10
    6.5/10

สรุป

ซีรีส์คุณภาพน้ำดีจากดิสนีย์ที่เข้าประเทศไทยช้ามากจนคนทั่วไปแทบไม่ให้ความสนใจทั้งที่มันสมควรเป็นที่รู้จักอย่างยิ่ง อุดมไปด้วยเนื้อหาสไตล์วัยรุ่นอเมริกันแบบเรียบง่ายไม่ซับซ้อนตามสูตรสำเร็จทั่วไป สลับกับจิกกัดมุกตลกสไตล์สารคดีปลอม เรื่องราวที่ชวนให้ติดตามของวัยรุ่นที่พยายามรับมือกับปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต  พร้อมด้วยบทเพลงสุดไพเราะ นักแสดงเป็นธรรมชาติ เคมีกันและกันลงตัวไปหมดและไม่มีใครเป็นส่วนเกินของเรื่อง โดยเฉพาะ โอลิเวีย ร็อดดิโก ที่เฉิดฉายในบทนำอย่างสดใสเหมือนเส้นทางดนตรีของเธอตอนนี้

 

SS2 พาผู้ชมไปสำรวจความจริงจังของเรื่องราวไฮสคูลพร้อมทั้งตัวละครหลายเรื่องมากกว่าเดิม ทั้งดราม่าและความวุ่นวายของหลายประเด็น แต่สิ่งที่ดร็อปลงคือความตลกและจังหวะที่สดใหม่ แม้นักแสดงจะทำหน้าที่ดี แต่บทของโอลิเวียหายไป 4 ตอนและไม่มีฉากสำคัญกับเรื่องราวจนแอบน่าเบื่อ แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้ตัวละครได้มีบทบาทเพิ่มขึ้น เพลงประกอบที่ไพเราะแฟนที่ติดตามซีซั่นแรกยังไงก็ต้องห้ามพลาด

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
0 (0 votes)

Pros

  • เนื้อเรื่องที่ไม่ซับซ้อน เข้าใจได้ง่าย แต่มีเหตุการณ์เซอร์ไพรส์ตัวละครตลอด
  • ความรักของตัวละครและความหลากหลายของกลุ่มคนที่ไม่ได้ใส่มาผ่าน ๆ
  • นักแสดงทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เคมีเข้ากัน โดยเฉพาะ โอลิเวีย ที่สดใส น่ารักจริง ๆ
  • เพลงประกอบไพเราะและติดหูเกือบทุกเพลง
  • การถ่ายทำเรียบง่ายเหมือนสารคดีตามติดชีวิตคนจริง ๆ
  • ประเด็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายและไม่ได้พยายามเล่นประเด็นอะไรใหญ่มาก
  • มุกตลกจิกกัดกันไปมาระหว่างตัวละคร จังหวะกำลังพอดี
  • มีเสียงพากย์ไทยคุณภาพ
  • SS2 ตัวละครมีการกระจายบทและมีความสำคัญกับเรื่องราวมากกว่าเดิม
  • SS2 ยกระดับการแสดงของทุกตัวละครให้มีความเป็นธรรมชาติ
  • SS2 ประเด็นของตัวละครที่เติบโตขึ้นมากกว่าซีซั่นก่อน
  • SS2 เพลงประกอบเพราะทุกเพลง มีพากย์ไทยเสียงเดิม
  • SS2 จำนวนตอนเพิ่มขึ้น ได้เห็นตัวละครมีชีวิตมากขึ้น

Cons

  • พล็อตสูตรสำเร็จหนังดนตรีไฮสคูล ไม่ได้แปลกใหม่อะไร SS2 ก็เป็น
  • ตัวละครบางตัวก็งี่เง่าไปบ้างตามประสาวัยรุ่นที่พยายามทำสิ่งต่าง ๆ
  • การเล่าเรื่องอาจจะน่าเบื่อในช่วงแรกต้องจูนหน่อย ๆ
  • SS2 ขาดความสดใหม่และแทบย่ำอยู่กับที่จนน่าเบื่อ
  • SS2 ดราม่าหนักกว่าซีซั่นแรกจนเรื่องแอบอืด
  • SS2 โอลิเวียไม่มีความสำคัญกับเรื่องราวกว่า 4 ตอน
  • SS2 บางประเด็นก็ดูไม่มีความจำเป็นกับเรื่องราวเท่าไหร่

High School Musical: The Musical: The Series หรือ มัธยมการละคร (คำย่อจากต่างประเทศคือ HSMTMTS) เป็นซีรีส์แนวมิวสิคัลดราม่ากึ่งสารคดีล้อเลียน (mockumentary) ที่สร้างขึ้นสำหรับสตรีมมิ่ง Disney + โดย Tim Federle ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ภาพยนตร์ High School Musical หรือชื่อไทยที่แฟน ๆ รู้จักกันว่า มือถือไมค์ หัวใจปิ๊งรัก เซ็ตฉากสมมติอยู่ในโรงเรียน East High School โรงเรียนที่โด่งดังจากการเป็นสถานที่ถ่ายทำของ ภาพยนตร์ต้นฉบับ โดยทำหน้าที่เหมือนสารคดีปลอมตามติดชีวิตของกลุ่มวัยรุ่นและครูสอนการแสดงที่มารวมตัวกันเพื่อจัดการแสดงละครเวทีที่สร้างจากหนังเรื่องนี้ นำแสดงโดย โอลิเวีย ร็อดริโก สาวน้อยวัยรุ่นที่กำลังมาแรงที่สุด โดยเพลง “Drivers License” ติดชาร์ตอันดับต้น ๆ ของโลก จนเป็นที่รู้จักกันไปทั่วในฐานะ นักร้องสาวแห่งยุคที่ออกอัลบั้มเปิดตัวก็ขึ้นชาร์ตอันดับหนึ่งอย่างมหัศจรรย์ ซีรีส์เข้าสตรีมมิ่งดิสนีย์พลัสไปแล้วตั้งแต่ปี 2019 แถมยังได้รับการอนุมัติให้ทำซีซั่นสองต่อตั้งแต่ยังไม่เริ่มฉายซีซั่นแรกเลยด้วยซ้ำ แต่ดิสนีย์พลัสฮอตสตาร์เพิ่งนำเข้าไทยพร้อมซีซั่น 2 เมื่อสิ้นเดือนมิถุนา โดยซีรีส์ได้รับคะแนนวิจารณ์ดีงามและได้รับรางวัล GLAAD Media Award ในปี 2020 สาขา รางวัลรายการเพื่อเด็กและครอบครัวดีเด่น.

ตัวอย่าง High School Musical: The Musical: The Series

รีวิว High School Musical: The Musical: The Series

High School Musical: The Musical: The Series เล่าเรื่องเหตุการณ์สมมติใน 15 ปี หลังจากความสำเร็จของไตรภาคภาพยนตร์ High School Musical โรงเรียน East High School ใน Salt Lake City รัฐ Utah ก็กลายเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็รู้จักในฐานะสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์แต่ไม่เคยมีการแสดงละครเวทีมาก่อน ทำให้ครูเจนน์ หญิงปริศนาปรากฏตัวขึ้นในฐานะครูชมรมการแสดงคนใหม่ตัดสินใจเปิดการออดิชั่นเพื่อการแสดงละครเวทีเรื่อง High School Musical ทำให้คนในโรงเรียนพากันตื่นเต้นมาก ยกเว้นบางคนที่มองการศึกษามาก่อนการแสดงละครที่ดูไม่มีอนาคต แต่ไม่ใช่สำหรับ นีนี่ สาวน้อยวัยฝันที่ชีวิตกำลังหัวปั่นกับการก้าวออกจากกรอบเดิม ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับริคกี้ อดีตแฟนหนุ่มสุดธรรมดาที่อยู่ระหว่างการเลิกกันแต่เขากำลังพยายามเอาชนะใจเธออีกครั้ง และ อีเจ ชายหนุ่มจอมกร่าง แฟนคนปัจจุบันของเธอ กำลังจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เธอต้องแก้ไขและค้นหาตัวเองให้ได้เพื่อที่จะสามารถปลดปล่อยศักยภาพของตัวเอง แต่ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ นีนี่ยังต้องเผชิญคู่แข่งที่น่ากลัวอย่าง จีน่า สาวมั่นและครบเครื่องไปซะหมดทุกอย่างที่พร้อมจะปัดเธอให้หลุดออกจากการแสดง แต่เรื่องของเธอมันอาจจะไม่วุ่นวายเท่ากับชมรมการละครที่ทุกคนล้วนเป็นครอบครัวและต้องจับมือกันข้ามผ่านทุกอุปสรรคเพื่อความฝันและพลังในการแสดงละครเวทีโรงเรียนที่อาจจะเป็นการแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเขา

แม้จะได้ชื่อว่าเป็นซีรีส์แต่การเล่าเรื่องจะมีความติดดินเป็นเหมือนเรียลลิตี้ตามติดชีวิตวัยรุ่น มีการสัมภาษณ์ราวกับว่าชีวิตของพวกเขาเป็นสารคดี แต่ก็มีเรื่องราววุ่น ๆ และปมที่ตัดสลับกันไปมาให้ติดตามเล่น เล่าเป็นมุมมองตัวละครหลายมุมมองไม่ได้โฟกัสแค่ตัวละครหลัก พาเราไปสำรวจสัมภาษณ์ชีวิตของพวกเขาว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไรกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ผ่านลักษณะนิสัยใจคอและการกระทำชวนเปิ่น ๆ หรือมึน ๆ นินทาหรือแซะตัวละครอีกตัว หรือแม้แต่มุกจิกกัดต่อฉบับภาพยนตร์มากมายที่ถ้าหากใครเคยดูภาพยนตร์มาแล้ว จะต้องขำหรือดีใจแน่ ๆ ที่ได้ยินมันอีกครั้ง ชวนตลกหัวเราะกรุบ ๆ ได้ พล็อตก็ดูเป็นสูตรสำเร็จอเมริกันไฮสคูล มีครูแปลก ๆ ที่คอยปลุกไฟฝันกลุ่มนักเรียนที่แสนน่าเบื่อ และก็มีคนไม่ชอบและจะทำลายการแสดง ไม่มีอะไรแปลกใหม่หรือพิเศษ แต่อย่างน้อยสิ่งที่มันพิเศษกว่าซีรีส์เรื่องอื่น ๆ คือการพาเราไปสำรวจบรรยากาศแบบโรงเรียนมัธยมไฮสคูลต่างประเทศจริง ๆ ที่ให้ความสำคัญกับการละครมากกว่าวิชาการ ไม่เหมือนประเทศไทยที่วัยรุ่นแทบใช้ชีวิตอยู่แต่กีฬาและศาสตร์อื่น ๆ และมองว่าการแสดงไม่ได้ช่วยให้ทำมาหากิน เราอาจจะชินกับตัวละครที่มีปัญหาใหญ่ ๆ แบบเหล้า ยา เซ็กส์ การต่อยตี หรือฆาตกรรม แต่เรื่องนี้คือความสดใสมาก ๆ มันเป็นเรื่องแบบมัธยมล้วน ๆ ทั้งเรื่องเพื่อน เรื่องแฟน หรือเรื่องครอบครัวที่มักปรากฏขึ้นมาให้เซอร์ไพรส์ชีวิตตัวละครตลอด แม้แต่คนดูที่อาจจะรู้มากกว่า แต่ก็เดาปัญหาที่ตามมาไม่ได้อยู่ดี ถ้าใครหลายคนเคยได้ทำงานกลุ่มหรือแสดงอะไรร่วมกับเพื่อน ๆ แล้ว จะต้องอิน กับเรื่องราวของตัวละครเหล่านี้แน่นอนครับ

ซีรีส์เรื่องนี้ใช้เวลามากกับตัวละครทีละนิด ๆ ได้รู้กันคร่าว ๆ ว่าโครงเรื่องและความสัมพันธ์เป็นยังไงก่อนจะเจาะลึกเข้าไปให้เสมือนเรากำลังเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตัวละครที่ล้วนเป็นตัวละครหลักที่มีสีสันและมีชีวิตบทบาทไม่ได้เป็นแค่ตัวละครสมทบหรือตัวร้ายของเรื่อง เป็นแค่วัยรุ่นธรรมดาจะมีมากหรือน้อยก็ล้วนสำคัญ พล็อตหลักก็จะมีทั้งเรื่องราวของความรักสามสี่เส้าของตัวละครหลักอย่าง นีนี่ ริคกี้ อีเจ และ จีน่า ที่ล้วนยุ่งเหยิงพอ ๆ กับบทบาทของตัวละครที่ตัวเองแสดงเป็นเหมือนกระจกสะท้อนตัวตนและความสัมพันธ์ของทั้งหมด ไหนจะความลับที่ครูเจนน์ปิดบังนักเรียน และพล็อตย่อยอีกมากมาย ยกตัวอย่าง เช่น คอร์ทนีย์และบิ๊กเรด เพื่อนสนิทนีนี่และริคกี้ที่คอยสนับสนุนทุกอย่างและตบมุกตัวละครในเรื่องจนได้มายืนอยู่ในจุดที่สำคัญ พวกเขาตัดสินใจอย่างไรให้ผลที่ได้รับดีที่สุด

คาลอส ชายลูกศิษย์ของครูเจนน์ที่ต้องแบกละครเวทีไว้ไม่ต่างกับเจ้าของการแสดง แอชลิน หญิงวัยรุ่นร่างใหญ่ที่ได้รับโอกาสจากครูเจนน์ มิตรภาพที่ก่อตัวขึ้นจากการแสดงละครเวทีด้วยกันซึ่งอาจจะมีไม่มาก แต่ก็ทำให้เชื่อได้ว่าพวกเขาเป็นคนจริง ๆ มีบทบาทแต่ก็รักกันกลมเกลียวและเรียนรู้ถึงข้อผิดพลาดของกันและกัน ในซีรีส์อาจจะไม่ได้มีบทพูดอะไรให้จดจำ แต่เพราะเป็นวัยรุ่นธรรมดา คำพูดทุกอย่างมันจึงเป็นธรรมชาติไร้การตบแต่งให้หรูหรา แต่กินใจ โดยเฉพาะในฉากเศร้ากับดราม่าพอจะมาก็สามารถเรียกน้ำตาได้พอสมควร พอเป็นฉากรักก็หวานกันแบบไม่มีใครยอมใครเลยด้วยซ้ำ แถมมีมากกว่าแค่ชายหญิง ยังมีคู่รักเพศเดียวกันอีก เรียกได้ว่ามีความหลากหลายมากเช่นเดียวกับบทละครที่มีการปรับเปลี่ยนเพื่อคน ๆ นั้นมากกว่าความเหมาะสมของตัวละครตามกรอบเดิม ขอปิดไว้นะว่าเป็นคู่ไหน ตัวละครใด เพราะน่ารักไปหมดทุกคู่เลยในเรื่อง และจบเรื่องแบบสวยงาม แต่ก็ไม่วายทิ้งปมเล็ก ๆ ไปยังซีซั่น 2 แต่ก็ไม่ได้ชวนให้ลงแดง เพาะมันจบประเด็นแรกแล้ว ต่อไปก็เป็นโลกใหม่ที่พวกเขาต้องเผชิญต่อไปในอนาคต

ประเด็นของเรื่องก็เรียบง่ายไม่มีอะไรซับซ้อน ในพื้นที่ของโรงเรียนไฮสคูลที่มีคนอยู่หลายแบบ บางคนอาจจะเฉิดฉายในการอยู่กับกิจกรรมวิชาการหรือการสร้างชื่อเสียงของโรงเรียน บางคนอาจจะไม่มีโอกาสเฉิดฉายและถูกกดให้เป็นแค่คนแปลกและเพี้ยน และการแสดงละครเวทีกลับเป็นสิ่งที่ปกป้องพวกเขาและมอบโอกาสให้พวกเขาได้มีอิสระที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ ผ่านการแสดง ทุกคนมีความตั้งใจ ทุกคนไม่คิดกดดัน ต่างมอบพลังให้กันและกันและรู้ว่าต้องใช้โอกาสให้ดีที่สุด ในแบบที่คนรอบตัวหรือครอบครัวไม่เคยได้รับรู้มาก่อน จนกระทั่งพวกเขาได้แสดงออกมาให้ทั้งโรงเรียนได้เห็น หาทางโชว์มันออกมาเพื่อให้ทุกคนเชื่อว่าพวกเขาเป็นมากกว่าพวกแปลกและเพี้ยน แต่คือกลุ่มนักเรียนมากความสามารถที่มารวมตัวกันสร้างเสียงเพลงและเสียงปรบมือให้คนดู เช่นเดียวกับเรื่องของอดีตจะเป็นอย่างไรมันไม่เคยสำคัญและตีกรอบว่าคน ๆ นั้น แต่หากเขาสามารถทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยมและตั้งใจเพื่อคนอื่น ปัจจุบันนั่นแหละที่สำคัญที่สุด เช่นเดียวกับการก้าวข้ามผ่านปัญหาต่าง ๆ ด้วยความมั่นใจและความเชื่อมั่นของตัวเอง แล้วสักวันทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหนก็ตาม โดยในซีซั่นนี้จะมี 10 ตอน แต่ละตอนมันแค่ครึ่งชม. แถมจบตอนไปแบบทิ้งปมตัวละครไปเรื่อย ๆ .

โอลิเวีย ร็อดริโก ในบท นีนี่ คือสาวน้อยมหัศจรรย์สมคำร่ำลือ บทเธอดูเหมือนเด็กผู้หญิงจืดจางในพวกซีรีส์ไฮสคูลแต่ความน่ารักสดใสและเปล่งประกายตอนร้องเพลงทำให้เธอมีเสน่ห์มาก ๆ โดยเฉพาะแววตาตอนที่แสดงอารมณ์ออกมาทั้งสุขเศร้าคือทั้งร้องทั้งแสดงเธอกินขาด และมีเคมีเข้ากับ Joshua Bassett ที่บทเขา ริคกี้ ก็ดูเป็นผู้ชายธรรมดาแต่เสียงตอนร้องเพลงไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ แถมยังต้องแสดงซีนอารมณ์ที่ชวนให้อินตามด้วย Matt Cornett ในบท อีเจ ที่เห็นก็รู้เลยว่าลูกคนรวยนิสัยเสีย แต่เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยสักนิด เขาแค่มีปมปัญหาบางอย่างที่ทำให้เรื่องวุ่นวายไปหมด แม้หน้าตาและท่าทางของเขาจะดูหน้าหมั่นไส้ แต่ต้องยอมรับเลยว่าเขาคือตัวละครเอกที่ขาดไม่ได้ เช่นเดียวกับ Sofia Wylie ที่ปรากฏตัวในแบบบทสาวมั่นร้าย ๆ แต่เนื้อแท้ของเธอก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่มีความอิจฉาและความเจ็บปวดซึ่งสีหน้าและท่าทางที่ชวนให้ไม่ชอบในตอนแรก เทียบไม่ได้เลยกับซีนสะเทือนอารมณ์ในปมตอนท้าย ๆ Kate Reinders มาในบทครูเจนน์ ครูเพี้ยน ๆ ที่ใจไม่เพี้ยนและพร้อมทุ่มเททุกอย่างเพื่อนักเรียน เธอมีทั้งมุมฮา มุมเศร้าเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ได้เห็น และความจริงใจของเธอก็ชวนให้อบอุ่นตามตัวละครในเรื่องที่เป็นเหมือนนักเรียนของเธอ กับปมสำคัญที่ผลักดันให้เธอมาเป็นครูที่ไม่รู้จะเห็นใจหรือหัวเราะใส่ดี เพราะมันก็คือปมเล็ก ๆ ที่กลายเป็นเรื่องใหญ่

ภาพสวยคมชัดมากในทุกฉาก แม้การถ่ายทำมุมกล้องของเรื่องเหมือนตามติดชีวิตนักเรียนมัธยม มีมุมซูมไปมาให้ได้จังหวะเวลาตัวละครเจอฉากสำคัญ และถ่ายทำแบบสด ๆ ไม่มีงานสเปเชี่ยลพิเศษอะไรทั้งนั้น ดิบ ๆ แบบสารคดีชีวิตคนจริง ๆ แต่นอกจากจะดูเพลินไปกับเรื่องราวป่วน ๆ ที่สามารถเข้าถึงคนที่เคยผ่านช่วงชีวิตวัยรุ่นแล้ว ซีรีส์ยังมีเพลงประกอบขับร้องที่มาจากฉบับภาพยนตร์ที่ถูกรังสรรค์ใหม่โดยทีมนักแสดงที่ล้วนเสียงดีและมีเสน่ห์กันทุกคนตอนร้องเพลง ที่แม้คนจะไม่เคยรู้จักไตรภาคภาพยนตร์ แต่ก็สามารถเพลินเพลินได้แทบทุกเพลง แถมยังมีเพลงที่ถูกแต่งใหม่สอดแทรกเข้ามาประกอบการเล่าเรื่องและมุมมองของตัวละครนั้น ๆ ทำให้มันเป็นมิวสิเคิลที่กลมกล่อมและมีเสน่ห์ เพราะทุกคนในเรื่องเหมือนมีชีวิตเป็นแค่นักเรียนธรรมดาที่พยายามแก้ปัญหาให้ผ่านพ้นไปด้วยมิตรภาพและเสียงเพลงที่เป็นแนววัยรุ่น ติดหูและฟังสบาย เรียกได้ว่าไม่เสียชื่อความเป็นซีรีส์มิวสิเคิล จัดเต็มเพลงประกอบจุใจจนทำให้เพลงนึงในอัลบั้มติดชาร์ตบิลบอร์ด 100 มาแล้วอย่าง ALL I WANT ที่ขับร้องโดยโอลิเวียเอง ก็สามารถเป็นตัวจุดประกายให้เธอมีอนาคตที่สดใสในวงการดนตรีโลกไปเรียบร้อยในเพลง Drivers License แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอหยุดเล่นซีรีส์นี้นะ

สรุป High School Musical: The Musical: The Series

ถือเป็นซีรีส์คุณภาพที่ประเทศไทยแทบไม่รู้จักอย่างน่าเสียดาย มันสามารถเข้าถึงและจับใจคนดูได้ง่ายมาก ไม่ว่าจะวัยไหน ด้วยเพลงประกอบที่ไพเราะ ถ่ายทอดเรื่องราววัยรุ่นในโรงเรียนมัธยมอเมริกาได้อย่างจริงใจและอบอุ่น แม้พล็อตจะค่อนข้างสูตรสำเร็จแต่ไม่ได้ทำให้เรื่องราวไม่สนุกเลย ในแต่ละ 10 ตอน จะพาคุณไปเห็นชีวิตว่าวัยรุ่นนั้นไม่ได้ง่ายเลยในเรื่อง มีหลายอย่างหลายสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจผิดพลาดหรือน่าโมโห แต่เพราะวัยรุ่นคือวัยแห่งการใช้ชีวิตเพื่อสิ่งที่ต้องการโดยไม่ได้ทำเพื่อใครแต่ทำเพื่อตัวเอง ไม่มีการตัดสินจากใครและไม่มีคำถามใด ๆ นอกจากโอกาสที่พวกเขาได้รับและทำมัน แม้ว่าความยาวของแต่ละตอนจะสั้นแค่ครึ่งชั่วโมง แต่มันก็อุดมไปด้วยบทเรียนชีวิตของกลุ่มคนสังคมนึงอย่างแท้จริง นี่คือซีรีส์ที่ดีเรื่องนึงที่อยู่ในดิสนีย์พลัสและผมไม่อยากให้พลาดเลยไม่ว่าจะเป็นคนที่รู้จักไตรภาคฉบับภาพยนตร์หรือคนที่เห็นชื่อยาว ๆ แล้วตัดสินใจไม่ดูเพราะไม่รู้จักและไม่น่าสนใจ อยากให้คิดดูใหม่ครับ มันคือซีรีส์ดีที่เปิดดูแล้ว คุณจะไม่เสียเวลาที่ชมไปเลย

ตัวอย่าง High School Musical: The Musical: The Series SS2

รีวิว High School Musical: The Musical: The Series SS2

ในซีซั่นสอง ละทิ้งดราม่าเก่าเข้าสู้ดราม่าใหม่ หลังจากละครเวทีเมื่อปีก่อนสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน East High School การแข่งขันละครเวทีเพื่อชิงรางวัลระดับชาติดึงให้ครูเจน ครูประจำชมรมการแสดงได้ตัดสินใจที่จะแสดงละครเวทีเรื่อง โฉมงามกับเจ้าชายอสูร ที่พ่วงมาพร้อมปัญหามากมายในปีการศึกษาใหม่ ทั้งนีนี่ที่ประสบความสำเร็จจากการแสดงและย้ายไปเรียนต่อที่โรงเรียนการแสดงประจำจนทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับริคกี้ แฟนหนุ่มที่ชีวิตกำลังพบการเปลี่ยนแปลงพลิกผันไปมาอย่างไม่น่าเชื่อ เอเจที่หลังเลิกรากับนีนี่เริ่มค้นหาตัวเองว่าเป็นมากกว่าแค่หนุ่มนักกีฬาหลังพบเจอกับความผิดหวัง จนเข้าไปพัวพันกับจีน่า เพื่อนนักแสดงสาวที่แอบมีใจให้กับริคกี้แถมยังมีปัญหากับคาร์ลอส เพื่อนร่วมงานเรื่องความคิดเห็นไม่ตรงกันจนทำให้การละครไม่ไปไหน จากการที่แฟนหนุ่ม เซบไม่ยอมพูดความจริงในการคบกัน ในขณะที่บิ๊กเรดกับแอชลินก็เรียนรู้ที่จะปรับตัวกันแต่ก็พบว่าต่างฝ่ายต่างมีความกลัว คอร์ทนีย์ก็เดินหน้าเป็นผู้จัดการร้านพิซซ่าสุดวุ่นวายทั้งสมองและหัวใจ แถมครูเจนต้องปะทะกับโรงเรียนคู่แข่ง North High มากฝีมือที่เจ้าของชมรมการละครดันเป็นแฟนเก่า แถมพ่วงมาด้วย ลิลี่ สาวน้อยหน้าใสใจร้ายที่ลักลอบเข้ามาในโรงเรียนเพื่อสร้างความปั่นป่วนเข้าไปอีก หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของความฝันของทุกคนในชมรมการละครของโรงเรียนแห่งนี้กัน!

ซีซั่นสองเดินเรื่องในรูปแบบเดิมที่คุ้นเคย สไตล์การเล่าเรื่องยังเป็นแบบที่คนดูซีซั่นแรกจะเข้าใจ องค์ประกอบต่าง ๆ ไม่ได้แตกต่างจากซีซั่นก่อนมากนัก ด้วยการเล่าเรื่องแบบสารคดีกึ่งล้อเลียน แต่จะโฟกัสที่ตัวละครหลายตัวมากขึ้น มากกว่าแค่ตัวละครหลักอย่าง นีนี่ที่ต้องเผชิญหน้ากับความฝันของตัวเองในโรงเรียนประจำ ริคกี้กับการผูกติดอยู่กับความสัมพันธ์ที่เหมือนถูกกลั่นแกล้งให้ไม่ได้อยู่กับแฟน แต่คราวนี้จะพาเราไปสำรวจชีวิตและมุมมองของจีน่าที่มีปัญหาเรื่องการเข้ากับคน และเอเจที่เคยเป็นตัวละครเจ้าเล่ห์ที่มายุ่งกับความสัมพันธ์ของคนอื่น แต่คราวนี้พวกเขาได้มีเรื่องราวเป็นของตัวเองแล้ว เช่นเดียวกับ คอร์ทนีย์ที่เคยเป็นเพื่อนของนีนี่ในฐานะตัวละครร่วม แต่เธอได้มีเส้นเรื่องถึงความฝันที่เราอาจจะรู้ผ่าน ๆ ในซีซั่นแรก ความสัมพันธ์ของตัวละครอื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่างคาลอสและเซบาสเตียน คู่รัก LGBTQ+ จากซีซั่นแรกที่ได้ขยายมุมมองทางความสัมพันธ์มากกว่าการเป็นแค่คู่รักน่ารักและตลก แอชลินกับบิ๊กเรด สาวร่างท้วมกับหนุ่มขี้อายที่ได้เรียนรู้ปัญหาของกันและกัน หรือตัวละครของครูเจนที่เน้นไปในทางความสัมพันธ์ทางคู่แข่งและคนรักเก่าอย่าง แซ็ค ที่เข้ามาปั่นป่วนให้การละครของเธอวุ่นวาย แต่ก็ยังมีเบน พ่อของริคกี้ที่เธอกำลังเดทอยู่และกำลังปรับตัว พอ ๆ กับ ลิลลี่ ตัวละครใหม่ที่มารับบทเป็นหญิงสาวร้าย ๆ ที่บทเหมือนหลุดมาจากหนังไฮสคูลแบบเจ้าเล่ห์และจอมวางแผน โดยผ่านละครเรื่องโฉมงามกับเจ้าชายอสูรที่ใครเป็นสาวกดิสนีย์ต้องรู้จักเรื่องนี้อย่างแน่นอน ความพิเศษของมันคือการทำหน้าที่เป็นภาพสะท้อนของตัวละครผ่านบทบาทที่พวกเขาแสดงโดยไม่ยึดติดกับภาพจำเดิม ๆ ว่าตัวละครต้องเป็นแบบนี้ แต่คือความหลากหลายทางเพศ เชื้อชาติ สีผิวที่ใส่เข้ามาอย่างมีนัยยะสำคัญ

แม้จะเดินเรื่องตามสูตรเดิมแบบซีซั่นก่อนที่แทบไม่ได้แตกต่างอะไรมาก แต่ประเด็นในเรื่องจะค่อนข้างกว้างและหลากหลายขึ้น เนื่องด้วยตัวละครที่ไม่ได้โฟกัสแค่จุด ๆ เดียวแล้วกระจาย แต่เป็นกระจายบทออกไปในแต่ละมุมมอง แต่พ่วงมาด้วยการแข่งขันครั้งใหม่ที่ไม่ใช่แค่ภายในหมู่เพื่อน แต่เป็นโรงเรียนคู่แข่งที่มีสิ่งที่อยู่เหนือและมีข้อได้เปรียบมากกว่าเพิ่มความเคร่งเครียดของเรื่องราว ปัญหาความรักสุดวุ่นวายก็ยังมีแต่ไม่น่ารำคาญเท่าซีซั่นก่อนและดูจะโตขึ้นด้วยในหลาย ๆ คู่ ปัญหาครอบครัวและความเชื่อมั่นในตัวเองของตัวละครที่แสดงออกมาผ่านมุมมองใหม่ ๆ ที่ไม่ได้เหมือนอย่างซีซั่นก่อน ๆ ไหนจะเรื่องของมิตรภาพที่ยังรักษามาตรฐานและตีความขยายกว้างกว่าเดิมที่ชวนให้เรียกน้ำตาและรอยยิ้มได้ ตัวละครต่างมีปมเป็นของตัวเอง พากันดราม่ากันหมด เพราะฉะนั้นมุกตลกหรือจังหวะฮาจะน้อยกว่าซีซั่นก่อนมาก แม้ว่าจะยังมีมุกตลกแซะไปมาชวนให้หัวเราะเบา ๆ โดยเฉพาะคนที่เป็นแฟนคลับละครเวทีหรือดิสนีย์จะเข้าใจ แต่คนทั่วไปอาจจะไม่ค่อยเข้าใจมากนักซึ่งผมที่ติดตามพวกละครเวทีหรือดิสนีย์จึงหัวเราะได้บ้าง

ด้วยเนื้อเรื่องที่จริงจังและเน้นไปที่ตัวละครต่าง ๆ ทำให้ความสนุกอาจจะลดลงไปบ้าง แต่ด้วยเสน่ห์ของตัวละครที่มีมุมดีมุมด้อยแบบมนุษย์ มันก็ยังทำให้เรารู้สึกต่อติดและอินร่วมไปกับเรื่องราวที่พวกเขาต้องเผชิญและหวังว่าพวกเขาจะสามารถแก้ปัญหาเรื่องราวที่ดูเป็นคนละเรื่องแต่ยังไปในทิศทางเดียวกันได้ โดยไม่รู้สึกเอื่อยเฉื่อยหรือออกทะเลแต่อย่างใด ด้วยความยาวของตอนที่เพิ่มขึ้นด้วยตั้ง 12 ตอน มันเลยได้โฟกัสเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น ซึ่งถือเป็นข้อดีที่มากลบข้อด้อยในเรื่องของสูตรสำเร็จที่ดูแล้วมันก็เหมาะสมกับการเป็นสังคมโรงเรียนมัธยมของอเมริกันที่ไม่ได้เครียดหนักหนามากมาย นอกจากเรื่องการแสดงและความสัมพันธ์ ไม่มียาเสพติด ไม่มีเรื่องหวาบหวิว และยังมีลายเซ็นของการเป็นละครเพลงที่มีการร้องเพลงแบบจู่ ๆ นึกจะร้องก็ร้องขึ้นมาในบางฉาก หรือในการซ้อมละครที่ก็ดูเหมาะสม ไม่ได้แปลกอะไร เพลงที่ถูกแต่งใหม่สอดแทรกเข้ามาประกอบการเล่าเรื่องและมุมมองของตัวละครนั้น ๆ โดยเฉพาะเพลงของโอลิเวีย นักแสดงนีนี่ที่ดันกลายเป็นลายเซ็นของซีรีส์ที่หากนึกถึงเพลงในซีรีส์ก็คงจะเป็นตัวละครของเธอ

ส่วนเรื่องนักแสดงทุกคนก็ยังทำได้ดีเหมือนเดิม บางตัวละครได้โชว์ซีนอารมณ์มากกว่าเดิมจนโดดเด่นไม่มีใครเป็นตัวหลัก เพราะทุกคนในซีซั่นสองก็คือตัวละครที่ขาดไม่ได้ในเรื่อง สำหรับซีซั่นนี้บทที่น่าสนใจคงเป็น Matt Cornett ในบท อีเจ ที่รอบนี้มีปมปัญหาจริงจังเกี่ยวกับอนาคตและการค้นหาตัวเอง และเป็นคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดแถมได้ร้องเพลงมากขึ้น เสียงเขาก็ดีไม่แพ้ใครเลยเช่นเดียวกับ Sofia Wylie ที่ปรากฏตัวในแบบบทสาวมั่นที่รอบนี้มีความเป็นนางเอกที่อ่อนไหวและยอมรับกับความจริงที่ตัวเองกำลังพบเจอกับความรักที่ยุ่งเหยิงและความรู้สึกอันสับสนที่มอบการแสดงอันยอดเยี่ยมให้กับซีรีส์เรื่องนี้ ในขณะที่บทของนีนี่กับริคกี้ถูกลดความสำคัญลง และให้ Kate Reinders ได้มีมิติมากกว่าความเพี้ยนความร่าเริงเป็นความจริงจังกับการแสดงแต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นตัวเอง เธอต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างที่ถาโถมเข้าหาในซีซั่น 2 Larry Saperstein ในบทของบิ๊กเรด หนุ่มเพื่อนสนิทของริคกี้ที่แม้จะขี้อายแต่เมื่อเขาร้องเพลงทุกคนต้องถูกสะกด โดยเคมีเข้าคู่กับ Julia Lester สาวเสียงดีที่รอบนี้เธอโชว์ความน่ารักและความน่าสงสารมากโดยเฉพาะฉากที่เธอร้องเพลงและใจสลาย Dara Reneé ในบทเพื่อนของนีนี่ที่รอบก่อนเป็นแค่เพื่อนหลังเวที แต่รอบนี้เธอมีความรักและความฝัน ซีนอารมณ์และแววตาเธอคือทรงพลัง Frankie Rodriguez ตัวตลกในซีซั่นแรก รอบนี้เขาได้แสดงให้เห็นความแข็งแกร่ง เขามีความสามารถท่ามกลางการถูกล้อเลียนในสังคมออนไลน์ที่คนมองว่าเกย์เป็นตัวตลก แต่เขาสามารถทำลายกรอบนั้นได้ ด้วยเพื่อน ๆ และคนรอบตัว และยังเป็นแฟนที่น่ารัก พร้อมสนับสนุนทุกคนด้วยแรงใจ และมิตรภาพอันแสนงดงาม

สรุป High School Musical: The Musical: The Series SS2

การถ่ายทำของเรื่องก็ยังคงเหมือนเดิมคือมุมกล้องสลับไปมาระหว่างการเป็นเรียลลิตี้ผสมบทสัมภาษณ์ของตัวละครในเรื่อง และมาตรฐานภาพสวยของภาพแบบไม่เน้นหล่อสวย มีสิว มีตำหนิบนหน้าเห็นชัดเจน แต่เพราะผู้ชมชินกับการเล่าเรื่องแบบนี้ในแหงของความตลก ข้อเสียในซีซั่นสองคือพล็อตที่ค่อนข้างจริงจัง และตัวละครบางตัวที่บทบาทหายไปอย่างนีนี่ที่รอบนี้เธอไม่ได้อยู่กับเพื่อนและมีปัญหาของตัวเอง ซึ่งแน่นอนโอลิเวีย นักแสดงในบทนีนี่ตอนนั้นเธอกำลังยุ่งกับเส้นทางดนตรี กว่าเธอจะโผล่มาก็ช่วงกลางเรื่องซึ่งทำให้คนที่ดูซีซั่นแรกแล้วชอบบทบาทของเธออาจจะแอบผิดหวัง แต่เธอก็ยังคงมีบทบาทหลักเป็นเนื่อง ๆ แม้ว่าจะไม่ได้ร่วมซีนกับตัวละครแต่ก็ยังมีบทบาทที่เด่นในเรื่องอยู่ แต่โดยรวมก็ยังถือเป็นซีซั่นที่ดี แต่รู้สึกว่าซีซั่นแรกสดใหม่และสนุกกว่าในแง่การเล่าเรื่อง พอมันเล่าเรื่องต่อมาเรื่อย ๆ มันเลยออกแนวแบบเปิดดูก็ได้ จะไม่เปิดดูก็ไม่เป็นไร แต่ยังไงซะหากดูซีซั่นแรกมาแล้วก็ควรจะเปิดซีซั่นสองต่อเพื่อจะรอดูชีวิตของพวกเขาและลุ้นว่าบทสรุปของการลละครและชีวิตมัธยมสุดวุ่นวายมันจะจบลงที่ตรงไหน ความสุขหรือความเศร้า แต่เชื่อว่ามีโอกาสจะมีซีซั่นต่อไปหากกระแสคำวิจารณ์และเสียงตอบรับดี แต่ถ้าจะจบซีซั่นนี้แบบสวย ๆ เลยก็ได้ เพราะคิดไม่ออกเหมือนกันว่านอกจากชีวิตตัวละครที่เติบโตแล้ว ความสดใหม่ของเรื่องราวมันก็ยังมีอยู่หรือเปล่า ยกเว้นว่าจะมีการเพิ่มปมใหม่ ตัวละครหลักใหม่ หรือประเด็นอะไรที่น่าสนใจกว่าวนเวียนและขยายเรื่องราวของตัวละครที่ดูไม่ได้ไปไหนไกลอีกแล้ว ทว่า ดิสนีย์ไฟเขียวให้สร้างซีซั่น 3 แล้ว กับเรื่องราวของช่วงแคมป์หน้าร้อนและความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้รับคำตอบ ปีหน้า และผมจะมารีวิวให้ฟังใหม่ เฝ้ารอได้เลยนะครับ

ทั้งสองซีซั่น ฉายแล้ว ซีซั่น 3 เร็ว ๆ นี้ ทางสตรีมมิ่ง Disney+Hotstar  

ราคาปีละ 799 บาท สำหรับลูกค้าทั่วไป แต่เฉพาะลูกค้า AIS สมัครแพ็กเกจ Disney+ Hotstar เพียง 49 บาท/เดือน (จาก 99 บาท) หรือ ราคาปีละ 499 บาท

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!