playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

รีวิว Snowdrop ดราม่าย้อนยุคสุดปวดตับของ จีซู BLACKPINK (อัพเดทจบแล้ว)

สรุป

ซีรีส์ดาร์กคอเมดี้ผสมผสานความเป็นโรแมนติกคอเมดี้กับความเข้มข้นของการเมืองผ่านเนื้อเรื่องที่ไม่ค่อยติดตาม ค่อนข้างน่าเบื่อ โทนเรื่องกับจังหวะที่ไม่ค่อยลงตัวระหว่างดราม่ากับตลก เพราะเป็นแบบตลกร้ายตามสถานการณ์ โดยได้เสน่ห์การแสดงนำครั้งแรกอย่างเชิดชายของจีซูที่จะต้องโดนใจชาวบลิงค์ และแฟน ๆ ของจองแฮอิน ร่วมกับนักแสดงมากฝีมือมารวมตัวได้อย่างกลมกล่อม โปรดักชั่นทุ่มทุนอย่างหนัก แต่ต้องชะงักเพราะการนำเสนอที่ดูขัด ๆ กับประเด็นหลักของเรื่องที่เหมือนเล่าอยู่คนละเรื่อง

Overall
7.5/10
7.5/10
Sending
User Review
1 (2 votes)

Pros

  • ความบันเทิงกับความโรแมนติกตลกโปกฮาผสานความดราม่าระทึกขวัญ
  • การแสดงสุดเป็นธรรมชาติของจีซูและจองแฮอินชวนอินไปพร้อม ๆ กัน
  • เพลงประกอบที่ไพเราะเหมาะกับเรื่องราว
  • ประเด็นทางการเมืองที่จับต้องได้
  • โปรดักชั่นทุ่มทุน การถ่ายทำที่สวย ฟิลเตอร์ย้อนยุค ชวนระลึกถึงอดีต
  • ตัวละครมีความน่าสนใจทุกตัวละครทั้งดีและร้าย
  • เข้มข้น หักมุมแทบจะทุก ๆ ตอน

Cons

  • โทนเรื่องจังหวะที่ไม่สม่ำเสมอ ช่วงการเมืองน่าเบื่อมาก ส่วนโทนโรแมนติกก็แอบเวิ่นเว้อ แต่ช่วงหลัง ๆ มาไม่มีแล้ว เล่าเรื่องสลับไปมาเนียนและชัดเจนกว่า
  • การนำเสนอที่ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน ตัดต่อได้ค่อนข้างแปลก โดยเฉพาะตอนสุดท้าย
  • ซีรีส์ไม่ได้ขายความบันเทิงหรือความรักหวานฉ่ำ ไม่เหมาะสำหรับคนไม่ชอบเนื้อเรื่องหนัก ๆ

Snowdrop ซีรีส์เกาหลีแนวโรแมนติก เมโลดราม่า ตลกร้าย เรื่องแรกจาก Disney+ ที่ซื้อซีรีส์เกาหลีดัง ๆ ดี ๆ มากมายมาฉายสตรีมมิ่งทั่วโลกใน Hotstar ร่วมกับ JTBC  ผู้สร้างซีรีส์สะเทือนเรตติ้งเกาหลีมาแล้วอย่าง Sky Castle นำแสดงโดย จองแฮอิน นักแสดงหนุ่มผู้ฝากผลงานนำในซีรีส์ทหารจับคนหนีทหารจากเน็ตฟลิกซ์ D.P. หน่วยล่าทหารหนีทัพ และ คิมจีซู นักร้องสาวจากวงเกิร์ลกรุ๊ปหญิงระดับโลกอย่างวง BLACKPINK ที่เคยฝากผลงานรับเชิญเล็ก ๆ ในซีรีส์ Arthdal Chronicles  ในการแสดงนำครั้งแรกของเธอในบทบาทที่จะสะกดใจให้ทุกคนต้องหยุดมอง สมทบพร้อมด้วยนักแสดงมากฝีมือทั้งรุ่นใหญ่และมีฝีมือ ซีรีส์ความยาวชั่วโมงครึ่งนี้ สตรีมได้ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 4 ทุ่ม 10 นาทีทางดิสนีย์พลัส

 Snowdrop (2021) on IMDb

ตัวอย่าง Snowdrop

รีวิว Snowdrop

เรื่องราวสมมติที่อ้างอิงจากเหตุการณ์ June Struggle ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1987 ประเทศเกาหลีนั้นกำลังอยู่ระหว่างการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องของขบวนการประชาธิปไตยเกาหลีทั้งหนุ่มสาวและคนรุ่นใหม่ กับการเมืองที่ระส่ำระส่ายและเต็มไปด้วยการชิงดีชิงเด่นอย่างเอาเป็นเอาตายของรัฐเผด็จการ แต่ในมหาวิทยาลัยสตรีแห่งหนึ่งมีเพียงการใช้ชีวิตไปวัน ๆ และเฝ้ารอความรักของ ยองโร หญิงสาวสดใสและเปี่ยมไปด้วยพลังบวกที่เฝ้ารอวันจะได้พบกับชายในฝัน หลังอดีตอันแสนเจ็บปวดที่ตามหลอกหลอน ทำให้เธอได้พบเจอกับ ซูโฮ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้ทำให้เธอต้องตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น แต่เขานั้นกลับดูไม่สนใจเธอและทิ้งให้เธอต้องโดดเดี่ยว ทว่า หกเดือนต่อมา ชีวิตของยองโรกำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อระหว่างการเดินทางกลับห้อง เธอได้พบชายปริศนาคนหนึ่งท่าทางบาดเจ็บหนักเลือดเต็มตัว และเมื่อเธอได้เห็นหน้า เธอก็ต้องช็อค เพราะนั่นคือซูโฮ ผู้ชายที่เธอนึกว่าลืมไปได้แล้ว ตั้งแต่เวลานั้น ชีวิตของยองโรก็กำลังจะได้พบกับพายุหิมะที่โหมกระหน่ำ เพราะการตัดสินใจเพียงครั้งเดียวเพื่อช่วยเหลือซูโฮ ผู้ที่ถูกตามล่าโดยสำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติที่คิดว่าเขานั้น เป็นสายลับจากเกาหลีเหนือที่เกี่ยวข้องกับการตายของคนในสำนักงาน ความลับที่เก็บซ่อนไว้เป็นเวลานานของยองโรและซูโฮ อาจสามารถสั่นคลอนการเมืองเกาหลีได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ด้วยความที่ซีรีส์ถูกบอกเล่าด้วยศูนย์กลางของเรื่องความสัมพันธ์ของชายหญิง และการบอกตัวเองว่าเป็นซีรีส์ ดราม่าตลกร้าย ก็เลยพอเข้าใจได้ว่า มันจะมีส่วนผสมของหลาย ๆ อย่างที่ไม่ค่อยลงตัวกันบ้าง โดยเฉพาะพาร์ทของตัวละครหลักชายหญิงที่จะเป็นแนวรักย้อนยุคสดใสน่ารักและล่องลอยราวกับเป็นความฝันผ่านตัวละครศูนย์กลางอย่างอึนยองโร แต่พอเป็นพาร์ททางการเมืองโทนเรื่องจะเป็นแนวจิกกัดสังคมคนชั้นสูงที่แก่งแย่งชิงดีที่ทำให้คนดูรู้สึกแปลก ๆ แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนเกาหลีแต่ผมก็รู้สึกว่ามันดูไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวเลยว่าต้องการจะสื่ออะไร แม้ว่าจะเป็นการอ้างอิงการเมืองเกาหลีสมัยนั้น มันก็ดูจะเป็นเรื่องละเอียดละออไปหน่อย การเล่าเรื่องที่ยาวเยียดและความยาวของตอน ตอนละ 1 ชั่วโมงครึ่ง ที่ยอมรับว่ามี น้ำ และความยืดที่สัมผัสได้ในการเล่าเรื่อง

โดยส่วนใหญ่ให้เวลากับสองประเด็นหลักที่ดูคิดว่าอยู่คนละเรื่อง 1. การแก่งแย่งเป็นผู้นำของประธานาธิบดีของทั้งผู้ชายในเวทีการเมืองหรือการมีคะแนนเสียงของคุณนายในเรื่อง 2. ความรักของสายลับเกาหลีกับหญิงมหาลัยที่มีการประท้วง เป็นวาทกรรมที่ดูเป็นการบิดเบือนให้โรแมนติกตลกโปกฮาผิดจากโทนของความเป็นจริง โดยการอ้างว่าผู้ที่เข้ามาทำร้ายประชาชนที่ออกมาต่อต้านเผด็จการเป็นฝีมือของสายลับที่ได้คำสั่งจากเกาหลีเหนือ ทั้งที่จริงแล้วเกาหลีเหนือไม่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายผู้ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตย แต่เป็นรัฐเผด็จการของเกาหลีใต้ในยุคนั้นเองที่พยายามสังหารและทรมานผู้คนที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและต่อต้านทหารเหมือนที่เห็นในบางฉากของเรื่อง

แม้ทางช่องจะบอกว่าเรื่องราวในซีรีส์เป็นเพียงเรื่องสมมติ แต่ทว่า มันดันอะไรในเรื่องไปกระตุ้นความเจ็บปวดของคนที่เกี่ยวข้องในปี 1987 ไปโดยปริยาย ซึ่งผมก็ได้รับรู้มาก่อนจากพลอตเรื่องที่กลายเป็นประเด็นถกเถียง ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงปรับเปลี่ยนในภายหลัง แต่ก็อาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหามากมาย เพราะเพียงแค่ฉายตอนแรก กระแสเรียกร้องให้ยกเลิกก็รุนแรงจนถึงสองแสนกว่าคน ถึงขั้นบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศยกเลิกสปอนเซอร์ในตอนที่สอง แต่ถึงกระนั้นซีรีส์ก็ยังยืนยันโดยทางช่องว่าจะฉายต่อไป ท่ามกลางพายุความเห็นที่แตกกันเป็นสองทางตั้งแต่ประกาศพลอตเรื่อง ผมคงพูดได้แค่ในส่วนของตัวละครที่ทำออกมาในแง่ของความมีติได้ดี คาร์แร็คเตอร์ชัดเจนและค่อนข้างมีบทบาทสำคัญ ทั้งดีและร้ายมีปมต่างกันไป น่าสนใจตามแบบฉบับของคนที่เขียนบทซีรีส์เกาหลีดี ๆ

แต่ปัญหาสำคัญคงเป็นการอ้างอิงถึงมหาวิทยาลัยที่จำลองสถานการณ์เหตุการณ์ในปี 1989 ที่มีตัวละครจากประเทศเกาหลีเหนือที่ทำภารกิจและโดนไล่ล่าโดยตัวละครหลักอีกตัวซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติที่กำลังเป็นที่ประจานในโลกออนไลน์ถึงการเขียนบทออกมาให้ดูเป็นตัวเอกและเป็นวีรบุรุษ ทั้งที่ในความจริงมีรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้ประท้วงที่เสียชีวิตจากการถูกกล่าวหาว่าเป็นสายลับเกาหลีเหนือ ถูกซ้อมทรมานจนเสียชีวิต (เหมือนในตอนที่สอง) ในขณะที่ชื่อตัวละครหลักอย่างอึน ยองโร ผมพบว่ามันถูกเปลี่ยนจาก ชอน ยองโช นักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยที่มีอยู่จริง แต่ถูกเขียนให้มีความรักกับสายลับเกาหลีเหนือ ก็อาจจะไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต่อต้านกันขนาดนี้ คงคล้าย ๆ เรื่องคู่กรรม นวนิยายอันเก่าแก่ตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่ที่เขียนให้ทหารญี่ปุ่นมีหัวใจจนหญิงไทยตกหลุมรัก

ซีรีส์คงสะท้อนภาพให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงที่เกาหลียังอยู่ในระบอบเผด็จการ มีคนออกมาประท้วงเรียกร้องเพื่อสิทธิ์ของตัวเอง ทั้งคนหนุ่มสาวที่ออกมาต่อสู่กับคนคุมฝูงชนจากรัฐบาล ในขณะที่บนเวทีการเมือง มีแต่นักการเมืองสกปรกที่กระหายหวังจะกอบโกยอำนาจอย่างไม่สิ้นสุดและพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อขู่แข่งออกจากเวที ซึ่งก็ทำออกมาได้น่าสนใจทั้งในด้านฝั่งชายและหญิงที่มีวิธีที่ต่างกัน ทำให้เห็นความเลวที่ไม่ว่ายุคไหนคนเป็นใหญ่ก็ไม่สนใจใหญ่ดีคนชั้นล่าง บางคนต้องดั้นด้นไขว่คว้าแทบตายแต่ไม่ได้โอกาสหรือสิทธิพิเศษใด ๆ ขณะที่คนบางคนได้ทุกอย่างมาแม้ไม่ต้องพยายามก็ได้มันมา ไหนจะเป็นเรื่องของการไถ่ถอนความผิดบาปในอดีตที่ถูกเล่าเป็นระยะในช่วงตอนที่สองที่เกี่ยวข้องกับตัวละครหนึ่งในเรื่อง และความสดใสและสวยงามของสิ่งที่เรียกว่าอาการตกหลุมรักที่มักเกิดขึ้นโดยไม่เคยนึกถึงหรือรับรู้ แต่เมื่อมันมาถึงเราก็พร้อมจะทำทุกอย่างโดยไมสนใจผลที่ตามมาและต้องเดือดร้อนในภายหลังอย่างแน่นอน

ในด้านโปรดักชั่น การถ่ายทำ ฉากหลังในการสร้างบรรยากาศปลายยุค 90 ของเกาหลีก็ถือว่าสมจริง มีการปรับโทนสีให้ดูเป็นหนังย้อนยุค ฟิลเตอร์ฟุ้งตอนฉากตัวละครมีช่วงเวลาร่วมกัน พอเป็นโทนการเมืองก็จะสีเป็นทึบ ๆ ดูน่าเกรงขามและน่าสะพรึงดูเหมือนองค์กรอะไรสักอย่างในชั่วร้าย และต้องขอบอกเลยว่าส่วนที่ดีก็คงเป็นนักแสดงหลักที่แสดงออกมาตามบทบาทได้ดีมาก อย่างคิม จีซู สาวสวยพี่คนโตของวงแบล็คพิงค์ที่ขอวางไมค์และมารับบทนำครั้งแรกอย่างงดงาม เธอเป็นตัวละครหลักหญิงได้อย่างเป็นธรรมชาติและเข้ากับทุกคนในเรื่องที่ล้วนมีฝีมือ แต่เสน่ห์ของเธอก็ไม่ได้ถูกจมหายไปโดย จองแฮอิน นักแสดงหนุ่มมากฝีมือที่ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะไม่ว่าเขาจะเล่นเป็นใคร ก็โดดเด่นไปซะหมด แต่ก็ยังแชร์เคมีแสนหวานกับคิมจีซูได้อย่างมีมนต์ขลัง ในขณะที่รุ่นใหญ่รุ่นนักแสดงก็ไม่มีอะไรให้กังขาเพราะแต่ละคนก็คือดาวเด่นของวงการโทรทัศน์เกาหลีอยู่แล้ว จะนิ่ง จะล้นแค่ไหนก็ไม่มีหลุดฉาก มีทั้งคอยเป็นตัวสมทบและตัวรับเชิญขับเคลื่อนประเด็นในตอนนั้น ๆ ไป

ที่สำคัญเพลงประกอบทั้งเปิด ระหว่างเรื่องยังไพเราะและชวนให้นึกถึงบรรยากาศอันเยือกเย็นของเกาหลีในช่วงที่เต็มไปด้วยความเคลือบแคลงใจ แต่มีเพลงหนึ่งที่กลายเป็นที่โจษจันอีกคือ มีฉากหนึ่งที่ตัวละครที่เหมือนจะเป็นคนเกาหลีเหนือหลบหนีจากเจ้าหน้าที่และวิ่งผ่านกลุ่มนักศึกษาที่กำลังร้องเพลง Sola Blue Sola (เพลงเรียกร้องประชาธิปไตยที่ถูกใช้ในช่วงเวลานั้นจริง ๆ)  ต่อหน้าเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนก่อนถูกทำร้าย ในขณะที่ตัวละครไม่สนใจ กลายเป็นจังหวะนรกที่ทำให้คนรู้สึกกังขาว่าทำไมต้องเป็นตอนที่มีเจ้าหน้าที่กับสายลับวิ่งผ่านด้วย ผมก็ไม่เข้าใจเท่าไหร่ถึงบริบทในเรื่องตอนแรก แต่พอลองหาข้อมูลใช้มุมมองของคนที่ได้รับรู้เหตุการณ์นั้น ก็เข้าใจแล้วว่ามันเป็นการตอกย้ำถึงความเจ็บปวดด้วยการบิดเบือนความจริงทางประวัติศาสตร์อย่างไม่น่าให้อภัย จนผมยังค้างเติ่งที่ดูฉากนี้โดยไม่เข้าใจความเจ็บปวด ทำให้แอบกังวลว่า ถ้าแฟนซีรีส์ที่ไม่ได้อยู่ในประเทศเกาหลีได้รับชม เขาจะเข้าใจแบบไหนกัน คงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินกว่าจะมองข้ามสำหรับเกาหลี คิดแค่นั้นก็ทำให้ผมตระหนักว่า เรื่องสมมติบางครั้งก็ถูกสร้างด้วยสมมติฐานของความจริง และมันก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน

ถ้ามองในเรื่องความบันเทิง SNOWDROP ก็มอบให้ได้ในระดับหนึ่งในแง่ของซีรีส์ฟอร์มดี แต่ถ้านับองค์ประกอบการแสดงของนักแสดง ทั้งจีซูและจองแฮอินที่ถูกในแฟน ๆ เพลงประกอบและโปรดักชั่นจะแบกเรื่องนี้อย่างเดียวก็คงไม่ผิด เพราะเรื่องราวที่ค่อนข้างไม่สม่ำเสมอ มีความยืดไม่ค่อยไปไหนและชวนสับสนโดยเฉพาะโทนเรื่องที่เหมือนมาจากคนละเรื่อง ก็ทำให้มันเป็นงานที่ดีแต่มีความแปลก ๆ ในการนำเสนอ ไม่รู้ว่าข้อถกเถียงนี้จะไปในทิศทางไหนได้อีก ในเมื่อช่องบอกสองตอนต่อไปจะเข้าประเด็นจริง ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ แต่การทำสื่อที่มีการพาดพิงหรือกล่าวอ้างผู้คนหรือสถานการณ์ที่มีอยู่จริง ไม่ว่าจะอย่างไร ต้องใช้ความระมัดระวังรวมถึงใช้วิจารณญาณ ทั้งในมุมผู้สร้างและผู้ชม ผู้สร้างก็ต้องตรวจสอบว่าอะไรที่ทำให้มันเป็นที่โจษจัน ในขณะที่ผู้ชมก็จำเป็นต้องเตือนตัวเองว่าซีรีส์เรื่องนี้ เป็นเพียงเรื่องสมมติ จะเอามาปะปนกับความจริงไม่ได้ แม้มันจะมาจากประวัติศาสตร์ก็ตาม เราก็ควรจะมีความตระหนักและคิดตามภาพของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ที่ออกมาเรียกร้องมันเป็นยังไง เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของความบันเทิงที่ทับถมความเจ็บปวดของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะฉะนั้น ถ้าหากมีอะไรเปลี่ยนไปในตอนต่อไป ผมจะมาอัพเดทเพิ่มนะ เพราะนี่แค่สองตอนแรก ก็หวังเอาไว้นะ ว่ามันจะมีทางลงที่จะไม่เสียหายไปมากกว่านี้ เพราะตอนนี้ในแง่ของเงินทุนที่คอยสนับสนุนซีรีส์ก็ถือว่าหาย แม้จะฉายต่อไปจนจบ ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับผลที่คุ้มกับทุนที่เสียไปมั้ยกับกระแสในขณะนี้

อัพเดท EP3-EP5

เรื่องย่อสั้น ๆ ของทั้ง 3 ตอนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากซีรีส์ได้ฉายควบวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์เพื่อพิสูจน์ว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นเรื่องสมมติที่เกิดขึ้น ความว่า หลังจากที่เอาตัวซูโฮมาซ่อนและเผชิญหน้ากับความวุ่นวายจากคนในหอ ในที่สุดก็ถึงเวลาที่ซูโฮจะได้เป็นอิสระ เมื่องานเปิดหอหญิงมาถึง แต่ทว่าสิ่งที่ยองโรต้องเผชิญคือ อันตรายครั้งใหญ่ที่ตามมาในรอบตัวเธอ เมื่อตัวจริงของซูโฮเปิดเผย การแสดงของนักแสดงเรียกได้ว่าเฉลี่ยดี ทุกคนมีฉากปล่อยของ และการแสดงของพระนางที่ดูแล้วกลั้นหายใจตามเพราะความตื่นเต้นและความหักมุมแบบที่คาดไมถึง ทั้งจีซูที่ได้โชว์อารมณ์อันสะเทือนใจมากขึ้น และจองแฮอินที่การแสดงของเขาอาจทำให้หลายคนเกลียดได้อย่างสนิทใจและแทบไม่อยากให้เขาสมหวังเลยทีเดียว

ในตอนที่ 3 จะเป็นการบอกเล่าถึงความสัมพันธ์ของยองโรและซูโฮที่พัฒนามากขึ้นและกลายเป็นความรักอันเพ้อฝันที่ยองโรพยายามปกป้องซูโฮโดยคิดว่าเขานั้นเป็นคนประท้วงในขบวนนักศึกษา และยังวางแผนจะพาซูโฮหนีออกไป จากมหาวิทยาลัย ด้วยความช่วยเหลือของคนในครอบครัว เมื่อเปิดเผยว่าเธอเป็นลูกสาวของนักการเมืองและมีแม่เลี้ยงจอมโฉดที่พร้อมทำทุกอย่างเพืออำนาจแม้แต่การเข้าหาหมอดู ผสมกับเรื่องราวแนวโรแมนติกคอเมดี้แนวปี 87 โชว์ให้เห็นความตลกปนจังหวะนรกแบบตลกร้ายที่ยังมีไมเปลียนแปลง แต่ในส่วนของการเมืองที่เป็นที่โจษจันตอนนี้ไม่มีนอกจาก เจ้าหน้าที่สำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติชี้และจิกกัดองค์กรตัวเองเกี่ยวกับการจับแพะหรือนักประท้วงมาใส่ความและฆ่าทิ้งอย่างโหดร้ายที่ดูเป็นส่วนสำคัญที่ตอนนี้แตะทางการเมือง และประเด็นที่ผู้คุมหอมีความหลังฝังใจในอดีต การกล่าวหาสายลับว่าเป็นคอมมิวนิสต์ทำลายชาติ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นด้านรักโรแมนติกที่ดูเข้าที่เข้าทางมากกว่าเดิม และปมรองอย่างด้านมืดของมนุษย์ด้วยกันที่พร้อมหักหลังและอิจฉาโดยไม่สนใจในสิ่งดี ๆ ที่ทำมาไม่มีการพาดพิงหรือกล่าวถึงผิด ๆ แบบสองตอนก่อนแต่อย่างใด

ในตอนที่ 4 จะเป็นการบอกเล่าถึงผลที่ตามมาหลังจากที่ซูโฮสามารถหนีไปรวมกับหน่วยของตัวเองสำเร็จ แต่ยองโรและผองเพื่อนกลับต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายเมื่อมีคนในหอล่วงรู้ความลับของพวกเขา ทั้งกับการสอบทีกำลังจะมาถึง ในตอนนี้เราจะได้เห็นบทบาทของตัวละครสมทบที่เพิ่มมากขึ้น มีการเชื่อมโยงประเด็นหลักอย่างไม่คาดคิด ปมปัญหาเกี่ยวกับการใส่ความผู้ประท้วงว่าเป็นสายลับถูกขับเน้นมากขึ้น และจุดเปลี่ยนของตัวละครที่ความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไป ไม่ว่าจากรักเป็นกลัว จากความไม่มั่นใจกลายเป็นความแน่ใจ ประเด็นสังคมที่เด่นชัดและมีเหตุผลว่าทำไมตัวละครต้องแสดงออกเช่นนั้น และความขัดแย้งระหว่างเกาหลีเหนือกับเกาหลีใต้ที่มีความสมจริงเข้มข้นหักเหลี่ยมระหว่างสองฝ่ายก็ยังอยู่ในเส้นคั่นของเหตุการณ์สมมติและเรื่องที่แต่งขึ้น อีกทั้งยังมีมิติของความสัมพันธ์ที่มีจุดเปลี่ยน และแน่นอนไม่มีการพาดพิงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์จริง

ในตอนที่ 5 จะเป็นการบอกเล่าถึงจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์เมื่อซูโฮใช้ยองโรเป็นเกราะป้องกันและตัวประกันในการต่อรองกับเจ้าหน้าที่สำนักงานวางแผนความมั่นคงแห่งชาติที่ทำให้ทั้งหอเต็มไปด้วยเสียงดังและควันปืน ที่คราวนี้พลิกตัวเองเป็นดราม่าทริลเลอร์ระทึกขวัญที่มีแต่ความตึงเครียดล้วน ๆ เพราะบรรยากาศมันคือการบุกยึดสถานที่หนึ่งโดยจับตัวประกันนับร้อยไว้ และยังมีมุกตลกร้ายแบบของถนัดอยู่ แต่ยังมีเนื้อเรื่องที่เข้มข้นขึ้น ปมของตัวละครเอกชายที่ถูกบอกเล่าผ่านแฟลชแบ็คจนสงสัยว่าทำไมมันถึงบอกว่าตัวเองเป็นซีรีส์โรแมนติกเพราะดูแล้วความรักของพระนางแทบจะเป็นไปไม่ได้ และไม่รู้จะเชื่อได้ยังไงว่าทั้งคู่จะรักกัน เพราะอะไร โปรดดูที่สปอย และเรื่องราวก็ไม่ได้อิงจากเหตุการณ์จริงแต่ใส่เหตุการณ์ก่อการร้ายและการชิงดีชิงเด่นของนักการเมืองที่ขณะหน้าสิ่วหน้าขวานก็ปฏิบัติการช้าเป็นเต่าอย่างน่าโมโหจนอยากจะกร่นด่า ตัวละครที่เจตนารมณ์สูงส่งจนกลายเป็นสุดโต่ง และมีแต่จะทำให้เหตุการณ์นั้นแย่ลง แต่ก็เป็นตามที่ผู้สร้างบอก ไม่มีเรื่องพาดพิงอีกแล้ว คราวนี้จะเป็นการต่อสู้ห้ำหั่นของทั้งสองฝ่าย

ยองโรก็ลูกสาวผอ.หน่วยความมั่นคง ซูโฮก็ลูกชายนายทหารชั้นสูงฝั่งเหนือ ที่คนพ่อต่างห้ำหั่นเพื่อผลประโยชน์ และความสัมพันธ์ของสองหนุ่มสาวก็ถึงจุดเดือดที่พร้อมจะฆ่ากันเองได้เลยทีเดียว

สรุปคือ ซูโฺฮไม่ใช่คนเกาหลีเหนือ แต่ทำงานเพื่อบั่นทอนอำนาจนักการเมืองในเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นพ่อของยองโรอีกที

อัพเดท EP6-EP7

หลังจากที่สถานการณ์ย่ำแย่ ยองโรตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อพลิกวิกฤติให้กลายเป็นโอกาส แต่ดูเหมือนว่าจะยิ่งกลายเป็นหายนะ เมื่อรัฐบาลตัดสินใจขั้นเด็ดขาดและอาจทำให้ทุกคนในหอต้องตกอยู่ในอันตราย

สองตอนนี้ถือเป็นตอนที่จีซูได้โชว์พลังการแสดงอย่างเต็มขั้นเกินความเป็นนักแสดงนำครั้งแรก ด้วยการแสดงอันแสนใจสลายและผลักดันเธอไปในจุดที่แตกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อมาตอบรับกับจองแฮอินที่บทอาจจะเป็นฝ่ายรับนิ่ง แต่ก็ทรงพลังแบบไม่ต้องแสดงอะไรมาก พร้อมการแสดงสุดน่าสะพรึงของยูอินนา และ จองยูจิน นักแสดงสาวสองคนในสังกัดค่ายเดียวกับจีซูที่ทำให้เราคาดไม่ถึงสมกับการเป็นนักแสดงมากฝีมือ ในขณะเดียวกันตอนนี้ก็ยังเป็นจุดเปลี่ยนหักมุมครั้งสำคัญที่ทำให้ตัวละครเริ่มมีการเปลี่ยนไป บางสิ่งที่ค้างคาและน่าสงสัยถูกเฉลยอย่างพีคแบบที่ไม่คิดว่าหน้าหนังของซีรีส์ จะทำให้ตัวละครหลายตัวที่ดูไม่มีอะไรให้มีอะไร

สลับกับอารมณ์ของตลกร้ายเล่นใหญ่ในฝั่งของตัวละครอื่น ๆ ที่เหี้ยมแบบไม่เกรงใจลุค ดูเหมือนว่าซีรีส์เรื่องนี้จะกลายเป็นซีรีส์แนวดราม่าทริลเลอร์ไปแล้ว เพราะตั้งแต่ตอนที่ 5 เป็นต้นมา ซีรีส์ก็กลายเป็นสถานการณ์แย่งชิงตัวประกันและบทบาทความรักของพระนางถูกแทนที่ด้วยความตึงเครียด มันเลยกลายเป็นดาบสองคมของคนที่ชอบพาร์ทความรักและอยากเห็นความสัมพันธ์น่ารัก ๆ อาจจะไม่ชอบและเบื่อกับดราม่าหนักหน่วงปวดตับ แต่ถ้าเริ่มอินกับเรื่องราวและความสัมพันธ์ของตัวละครก็คงอยากจะเห็นตัวละครพระนางกลายเป็นกลไกสำคัญท่ามกลางความตึงเครียดที่บีบคั้นอารมณ์ให้อยากติดตามต่อไปราวกับเป็นยาที่ขมแต่ก็อร่อยจนต้องกินแล้วกินอีก

คัง ชุง-ยา แท้จริง คือเจ้าหน้าที่ของฝั่งเหนือ หัวหน้าของซูโฮที่เข้ามาพาทีมออกไป โดนแฝงตัวไปเป็นน้อยนักการเมือง่ แต่แท้จริงเธอคือผู้บงการทั้งหมด และยอมโดนทำร้ายด้วยกันเพื่อความสมจริง

เราขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว คิมมีซู นักแสดงสาวจากซีรี่ส์ Snowdrop ในบทของโยว จุง-มิน เพื่อนหญิงผมสั้นใส่แว่นมากฝีมือที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 5 มกราคมด้วยนะครับ การแสดงของเธอคืออีกสิ่งที่ดี และเราหวังว่าทุกคนจะผ่านความสูญเสียเพื่อเข้มแข็งต่อไปได้ ขอวิญญาณของเธอไปในที่ดี ๆ นะครับ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

อัพเดท EP8-EP11

การเปิดตัวอันคาดไม่ถึงของใครบางคนทำให้เกมการเมืองทั้งนอกหอและในหอสตรียังคงครุกครุ่นไปด้วยเสียงปืนและควันไฟ สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปด้วยหัวใจที่สั่นไหวของยองโรและซูโฮ ท่ามกลางจุดเปลี่ยนและโฉมหน้าที่แปรผันชะตากรรม พวกเขาได้เริ่มเรียนรู้ความรู้สึกลึกที่ปรารถนาในจิตใจ และค่อย ๆ ปลดปล่อยตัวตน ในขณะที่ผู้คนยังตกอยู่ในความหวาดผวาในเหตุการณ์ที่เป็นเหมือนสนามรบของฝั่งเหนือและฝั่งใต้อย่างไร้หนทางที่จบลงอย่างสุขสันต์

ในสี่ตอนนี้เป็นเหมือนการเดินหน้ามากขึ้นแม้จะอยู่ในหอสตรีมาแล้วกว่า 7 ตอน เมื่อพูดในภาพรวมหลังจากผ่านครึ่งเรื่องมา เรื่องราวยิ่งทวีความเข้มข้น ไม่รู้สึกว่าพล็อตมีอะไรที่อีหยังวะเหมือนซีรีส์บางเรื่องที่ผ่านช่วงกลางแล้วเป๋ มันยังรักษาสไตล์อารมณ์ที่ผสมผสานระหว่างความโรแมนติกของตัวละครหลัก ความตลกร้ายในสถานการณ์ต่าง ๆ และพ่วงเข้ามาด้วยตัวละครสมทบเข้ามามีฉากหรือเหตุการณ์เปิดเผยและขับเคลื่อนเป็นของตัวเอง และจุดหักมุมไปหักมุมมาแบบที่หน้าซีรีส์ไม่ได้ขายแค่นักแสดงแต่ยังเปี่ยมไปด้วยพลังของเคมีของจองแฮอินและจีซูที่มีฉากโต้ตอบและอารมณ์ที่พุ่งพล่านและแสดงได้ดีมาก ๆ พร้อมฉากเลิฟซีนแรกของทั้งคู่ที่น่าจะทำแม่ยกคือแฮซูกริ๊ดกันเป็นแทบ ๆ

ในขณะเดียวกันมันยังสะท้อนภาพของการเมืองอันเน่าเฟะที่พร้อมแม้แต่จะเข่นฆ่าเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ และสิ่งที่เห็นในตอนแรกอาจไม่ได้เป็นแบบนั้น ทั้งฝั่งของสายลับที่พยายามประคับประคองภารกิจแม้อุดมการณ์จะสวนทาง ฝั่งของนักการเมืองและคนชนชั้นสูงที่ทำได้ทุกอย่างแม้จะต้องเสียอะไรไปมากมาย และสะท้อนความเลวร้ายของรัฐบาลที่ยัดเยียดข้อหาให้กับคนบริสุทธิ์ และชีวิตของคนที่พร้อมจะไปได้ในทุกทางเพื่อเอาชีวิตรอด มันจึงไม่ใช่เพียงซีรีส์ทางการเมือง แต่เป็นซีรีส์ที่เหมาะสำหรับดูแล้วคิดตามแบบง่าย ๆ แต่อย่าถามหาความฟินจิกหมอนตลอด เพราะโมเมนต์เหล่านี้จะมีในช่วงสถานการณ์สำคัญเท่านั้น ทำให้คนที่หวังจะดูเลิฟไลน์ของคู่หลักหรือคู่รองอาจจะรู้สึกอึดอัดและหดหู่กับเรื่องราวที่ไม่ได้เป็นแบบที่เห็น

อัพเดท EP12-EP16 (จบ)

ซูโฮและยองโรต้องพึ่งพากันกับทุกคนในหอมากขึ้นยิ่งขึ้นเมื่อสถานการณ์เลวร้ายลงเรื่อยๆ ซูโฮกับคังมูเปิดโปงเรื่องราวเบื้องหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดี  เมื่อฝั่งของนักการเมืองกลับทำบางอย่างที่คาดไม่ถึง และสายลับที่แฝงตัวอาจจะยังไม่หมด ซูโฮและยองโรอาจสูญเสียหลายสิ่งหลายอย่างมากกว่าความรักเพื่อปกป้องประเทศชาติ และนำพาประชาธิปไตยเข้าสู่เกาหลีในยุคสมัยแห่งความเยือกเย็น จนกระทั่งความลับของใครบางคนได้เปลี่ยนสถานการณ์เกินกว่าจะคาดเดาบทสรุปได้
ห้าตอนสุดท้ายนี้กลายเป็นเหมือนซีรีส์แอ็คชั่นที่่มีการห้ำหั่นกันตลอด สลับกับการเปิดเผยความจริงของเรื่องราวทั้งหมด แต่ก็ยังไม่ทิ้งรสชาติความหวานปนขมของซูโฮและยองโรที่ได้ค้นพบบทสรุปของความรู้สึกของทั้งคู่ หัวใจที่ไม่ต้องปิดบังกันอีกต่อไป มันจึงมีฉากเลิฟซีนมากกว่าตอนที่ผ่านมา แม้ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายแค่ไหน นอกจากนี้ตัวละครอื่น ๆ ก็เริ่มเผยธาตุแท้ออกมามากขึ้น ไล่ตั้งแต่คนใกล้ชิดอย่างยองโรที่เปลี่ยนไป นักการเมืองที่เริ่มอยู่ตรงข้ามกับอุดมการณ์เช่นเดียวกับสายลับที่เริ่มสงสัยในเป้าหมายของตัวเอง ทุกอย่างถูกเล่าอย่างมีน้ำหนักสลับกับการขยายปมของตัวละครว่าทำไมมันถึงต้องเป็นแบบนี้ และผลที่ได้รับควรเป็นยังไง แต่ถ้าใครจะรู้สึกเบื่อหรือเฉย ๆ ก็ไม่ต้องแปลกใจ
เอาเข้าจริงการโปรโมทของซีรีส์นี้ทำได้ประหลาดมาก คือโปรโมทเหมือนเป็นซีรีส์รักโรแมนติกตลกร้าย แต่พอมาจุดสุดท้ายมันกลายเป็นแอ็คชั่น ดราม่า ห้ำหั่น เฉือนคมกันให้ใจสลายไปข้าง ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้หรือเริ่มเบื่อกับความหนักและความเนือยของเรื่อง คงจะไม่ได้ว้าวอะไร แต่สำหรับผม ผมถือว่ามันเป็นอะไรที่น่าประหลาดใจมาก เพราะไม่คิดว่าซีรีส์จะมาไกลได้จนถึงจุดขั้นวิพากษ์วิจารณ์การเมืองเกาหลีผ่านตัวละครสามัญชนที่บทสรุปแทบไม่ต่างจากคู่กรรมเลย ผมคงไม่ต้องบอกว่ามันจบยังไง แต่เอาเป็นว่า สุดท้ายทุกคนก็ต้องได้รับผลของการกระทำ บางคนอาจจะหนีไปได้ บางคนอาจจะตาย บางคนอาจตายทั้งเป็น แต่นี่แหละคือผลของโลกอันเยือกเย็น ราวกับหิมะสีขาวที่ตกในฤดูหนาวเหมือนชื่อเรื่อง SNOWDROP แม้ว่าช่วงท้ายของเรื่องมันจะดูจบรวบรัดแปลก ๆ เหมือนกับมันมีฉากจบที่ยาวและดีกว่านี้ แต่อาจเพราะกระแสดราม่าล่ะมั้ง ที่่อาจจะทำให้ซีรีส์เลือกจบในแบบที่ปลอดภัยที่สุด

ซูโฮกับยองโรสามารถเปิดโปงแผนการร้ายได้สำเร็จ แต่ยองโรต้องสูญเสียซูโฮไปเพราะกองทัพรัฐบาล ในขณะที่คังมูกับฮันนาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในขณะทีเ่กาหลีเดินหน้าเข้าสู่ยุคประชาธิปไตย ทุกคนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ยองโรไม่เหลือใคร ทั้งเพื่อนห้อง 207 ที่ทอดทิ้งเธอ พ่อที่ถูกนักการเมืองด้วยกันสั่งฆ่า แม่เลี้ยงที่หอบเงินหนีออกนอกประเทศ และเทปของซูโฮที่เปียมด้วยความรักอย่างใจสลาย แต่เธอก็จะยังเดินหน้าใช้ชีวิตต่อไป แม้จะเหมือนตายทั้งเป็นก็ตาม

ในส่วนของการแสดงต้องบอกว่า จีซู ทำผมประทับใจที่สุดแล้ว เธอไล่ระดับจากการเป็นผู้หญิงธรรมดาทีสดใสและร่าเริงให้กลายเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งและแบกรับหลายสิ่ง การแสดงของเธอเป็นธรรมชาติและในตอนสุดท้ายเธอแสดงออกมาได้ขาดใจตามจนลืมไปเลยว่าเธอคือนักร้องในวงเกิร์ลกรุ๊ประดับโลก เป็นนักแสดงมากฝีมือทีน่าจดจำว่าถ้าพูดถึงเรื่่องการแสดงที่ยอดเยี่ยม ผู้หญิงคนนี้แหละคือหนึ่่งในคนที่จะถูกพูดถึง ในขณะที่แฮอินก็กะเทาะความเป็นผู้ชายเปี่ยมรักหลังจากที่นิ่งมาได้สักพัก เขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยเรื่องการแสดงซีนดราม่าที่ฟาดฟันกับทุกคนได้สมกับเป็นนักแสดงมากฝีมือ และไม่แปลกใจว่าทำไมแฟนคลับของทั้งคู่จะเล็งคู่นี้ให้กลายเป็นคู่จริง เพราะมันเป็นธรรมชาติ มีเคมีระหว่างกันอย่างไม่คาดคิด มันอาจจะเป็นเรื่่องของอนาคต แต่บอกเลยว่าถ้ามีการแสดงของสองคนนี้ ขอเป็นเรื่่องที่เบากว่านี้จะดีกว่า ปวดตับมากพอแล้วกับเรื่องนี้ ส่วนนักแสดงสมทบที่เหลือก็คือเติมเต็มซีรีส์เรื่องนี้อย่างสมบูรณ์ เพราะมีบทบาทสำคัญเป็นของตัวเอง และไม่ได้รู้สึกว่าใครด้อยกว่าหรือน้อยกว่า จนอิจฉาว่าเมื่อไหร่ละครไทยจะเฉลี่ยบทและการแสดงได้เป็นธรรมชาติโดยไม่เจาะจงแค่ตัวเอก แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่รู้จะติอะไรแล้วกับซีรีส์ 16 ตอนเรื่องนี้
SNOWDROP เป็นซีรีส์ที่ไม่สนุก แต่ก็เป็นซีรีส์ที่ดีในภาพรวม ถือว่าเป็นการชี้ชะตาแล้วว่าซีรีส์เรื่องนี้ได้จบลงแล้วอย่างไม่มีการแบน เนื่องจากประเด็นทางการเมืองที่ถูกเบี่ยงเบนไปไกลจากประวัติศาสตร์ พิสูจน์ว่าซีรีส์ได้ทิ้งเหตุการณ์จริงที่ถูกพาดพิงให้กลายเป็นความสมมติแบบสุดโต่ง เข้มข้นไปด้วยเรื่องราว การเฉือนคมท่ามกลางความรักอันฟุ้งเฟ้อ และอาจทำให้ใครหลายคนพึงพอใจหรือลดความตึงเครียดแล้วบ้าง แต่สำหรับช่อง JTBC คงเป็นบทเรียนสำคัญที่สอนให้รู้ว่าประวัติศาสตร์เป็นสิ่งเปราะบางเหมือนกับเรตติ้งที่ลดฮวบลง แม้จะได้ฉายต่อไปจนจบก็คงไม่ได้รับผลที่พึงพอใจ นอกจากหวังว่าตอนต่อไปจะไม่มีการพาดพิงเหมือนสองตอนแรกที่ทำให้การเดินทางของซีรีส์ฟอร์มยักษ์เรื่องนี้ที่กำลังดูไปได้สวยให้ชะงักลงเพราะกระแสที่ตีกลับที่แม้จะเพลาลง แต่คงทำได้แค่ดูซีรีส์ฉายจบตามกำหนด แต่คงไม่ได้กำไรจากสปอนเซอร์หรือเงินทุนอีกต่อไป นอกเสียจากทางอินเตอร์ที่เปิดดูดิสนีย์พลัสที่จะชื่นชมโดยไม่ได้รับรู้ปัญหาใดๆ เพิ่ม และจดจำซีรีส์เรื่องนี้ในฐานะเสนอชื่อแบนไปก็เท่านั้น

ชมได้แล้ววันนี้ ครบทุกตอน

ทุกวันเสาร์-อาทิตย์ 4 ทุ่ม 10 นาทีทางดิสนีย์พลัส

  • ติดตามเรื่องราวที่น่าสนใจในแวดวงเกม รีวิวภาพยนตร์ ซีรีส์ และ อนิเมะ ได้ ที่นี่
  • ติดตามผลงานของผม Thousand Mar ได้ ที่นี่
The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!