playinone.com
รีวิว บทความ หนัง ซีรีส์ Netflix สตรีมมิ่งทุกระบบ

[รีวิว] Trollhunters: Rise of the Titans ปิดตำนานนักล่าโทรลคนสุดท้าย

สรุป

บทสรุปของเหล่าโทรลฮันเตอร์ที่ประทับใจ แอนิเมชั่นที่ยกระดับขึ้นเทียบเท่าหนังโรง มุกตลกสอดแทรกสุดฮา และฉากแอ็กชั่นสุดมันส์ แม้จะมีข้อเสียคือเนื้อเรื่องเดาทางได้ง่าย และมีส่วนไม่สมเหตุสมผลบ้าง แต่การเล่าเรื่องที่ดีทำให้มีความสนุกตลอดทั้งเรื่อง

Overall
7/10
7/10
Sending
User Review
3.67 (3 votes)

Pros

  • งานแอนิเมชั่นที่ยกระดับจากซีรีส์อย่างมาก
  • บทสรุปที่แฟน ๆ ปลื้มใจ
  • มีอีสเตอร์เอ้กจากผลงานก่อนของ Guillermo del Toro ภายในเรื่อง
  • มุกภายในเรื่องตลกและล้ำมาก
  • มีเสียงพากย์ไทย

Cons

  • เนื้อเรื่องคาดเดาง่ายมาก
  • ถ้าไม่ได้ดูเรื่องก่อน ๆ จะไม่เข้าใจเนื้อเรื่อง
  • ตอนจบปลายเปิดที่อาจจะมีต่อได้

Trollhunters: Rise of the Titans นักล่าโทรลและผ่องเพื่อนของเราได้กลับมาอีกครั้งในรูปแบบภาพยนตร์ Original netflix ที่จะพาผู้ชมไปสู่เรื่องราวบทสรุปของซีรีส์จักรวาล Tales of Acadia สุดยิ่งใหญ่ที่อัพคุณภาพแอนิเมชั่นเทียบเท่าหนังโรง ถ้าใครยังไม่เคยดูเรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปดูซีรีส์ทั้งสามเรื่องก่อน ไม่งั้นคงไม่เข้าใจแน่ ๆ เพราะเนื้อเรื่องต่อจากซีรีส์ Wizard ทันที แต่ภาพยนตร์เรื่องสุดท้ายนี้ Guillermo del Toro ไม่ได้เป็นคนกำกับเอง จึงทำให้รู้สึกเสียดายเหมือนกันที่เขาไม่ได้มาปิดตำนานด้วยตัวเอง

 Trollhunters: Rise of the Titans (2021) on IMDb

รับชมตัวอย่าง Trollhunters: Rise of the Titans

หลังจากที่กลับมายังโลกปัจจุบัน เหล่าโทรลฮันเตอร์ยังคงต้องสู้กับสองจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ และต้องปกป้องนาริไปด้วย เพื่อไม่ให้เหล่าจอมเวทย์เรียกไททันออกมาเพื่อล้างโลกได้ แต่ว่าจิมที่สูญเสียเครื่องรางแห่งเมอร์ลินไปแล้ว ทำให้เขากลายเป็นคนธรรมดาที่ไม่สามารถต่อกรกับเหล่าจอมเวทย์ได้ จึงทำให้นาริโดนจับตัวไป ในขณะเดียวกันอาจาก็กลับมาโลกพร้อมกับอีไล ทำให้เหล่าฮีโร่แห่งอาคาเดียได้กลับมารวมตัวครบอีกครั้ง พวกเขาจะโต้กลับเหล่าจอมเวทย์ได้อย่างไร ติดตามกันต่อได้เลย

การยกระดับคุณภาพแอนิเมชั่นของซีรีส์นี้

เริ่มเรื่องมาเป็นฉากการไล่ล่าของเหล่าจอมเวทย์ที่จะมาชิงตัว นาริ จอมเวทย์แห่งไม้ บนรถไฟฟ้าที่แล่นอยู่ในนิวยอร์ก เป็นการเปิดฉากแอ็กชั่นสุดมันส์ตั้งแต่ต้นเรื่องเลยทีเดียว ในฉากเหล่านี้เราจะได้เห็นแอนิเมชั่นที่ไหลลื่นมากขึ้นจากซีรีส์ และโมเดลตัวละครที่สวยงามและทันสมัยมากขึ้น ทำให้เปิดตัวได้ออกมาว้าวสุด ๆ กับคุณงานภาพของเรื่องนี้ โดยต้นเรื่องจะมีการสร้างปมให้ตัวเอก โดยนาริจะให้คำใบ้เหล่าตัวเอกว่า “โทรลฮันเตอร์คือคนที่ 9 และโครโนสเฟียร์จะมาช่วยเอง” ซึ่งตอนนั้นจิมยังคงจิตตกจากการสูญเสียพลังอยู่ จึงพยายามหาคำตอบให้ได้ว่าคืออะไร เพื่อที่จะสามารถโค่นเหล่าจอมเวทย์ได้ ระหว่างนั้นเองอาจาและอิไรก็กลับมายังโลก เพื่อช่วยเหล่าโทรลฮันเตอร์ ซึ่งเราจะได้เห็นพัฒนาการของเหล่าตัวเอกที่มาไกลมาก ๆ เมื่อเทียบกับซีรีส์ก่อน ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกผันกับตัวละครเพราะได้เห็นพวกเขาสามารถแก้ปัญหากันได้ด้วยตัวเองและกลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัวแล้ว เมื่อถึงกลางเรื่องก็จะเป็นฉากผจญภัยเพื่อหาบางสิ่งบางอย่าง ดราม่าก็จะมาตามสไตล์ Guillermo del Toro ที่มีความดาร์กแฟนตาซีผสมบ้าง และฉากอีสเตอร์เอ้กที่ใครเป็นแฟนหนังของ Guillermo del Toro จะต้องชอบเพราะทำออกมาได้อลังมากเรียกได้ว่าทำหนังเรื่องนี้เพื่อแฟน ๆ โดยเฉพาะเลย แต่เมื่อถึงช่วงเกือบท้ายเรื่อง ซึ่งมีการเฉลยมากขึ้นทำให้ผู้ชมยิ่งเดาได้เลยว่าฉากต่อไปของเรื่องจะเป็นอย่างไร และมันก็สามารถเดาได้จริง ๆ ไปจนถึงตอนจบของเรื่อง ทำให้มันหมดสนุกในบางฉากไปจริง ๆ แต่วิธีการเล่าของเรื่องนี้เองก็สามารถแบกเรื่องนี้ได้ไปถึงจบฝั่ง ทำให้ผู้ชมรู้สึกอิ่มเอมไปกับมัน แม้มันจะไม่ใช่บทสรุปที่ดีสุด แต่มันทำให้ผู้ชมได้อิ่มเอมและพอใจไปกับมันได้

คอนเซ็ปต์ของเรื่องยังคงเล่นเกี่ยวกับโชคชะตาอยู่เหมือนเดิม มันคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกนี้ มันเหมือนคำทำนายที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งภายในซีรีส์ทั้ง Troll hunter และ Wizard ก็ยังย้ำอยู่ที่คอนเซปต์นี้ จึงทำให้หนังเรื่องนี้การนำโชคชะตามาเล่นอีกครั้งเป็นสิ่งที่สร้างอิมแพคต่อคนดูมาก ที่จิมอาจจะดูเหมือนเขาได้พลังมาโดยบังเอิญ แต่ความจริงแล้วมันคือชะตาของเขาต่างหากที่จะได้ปกป้องโลกใบนี้ แม้จะต้องแบกรับความรับผิดชอบทั้งหลาย มันเป็นเรื่องน่าเศร้าอีกเรื่องที่สร้างอิมแพ็คต่อคนดูเรื่องนี้เลย เพราะไม่ว่ายังไงหน้าที่ของเขาก็ยังคงอยู่ต่อไป

ต้องยอมรับเลยว่าเนื้อเรื่องภาคนี้เป็นภาคที่เนื้อหาที่เบาบางที่สุดในจักรวาลเรื่องนี้แล้ว มีแค่หยุดยั้งไททันไม่ให้ทำลายโลกได้ อาจจะเป็นเพราะ Guillermo del Toro ไม่ได้มาดูแลบทและกำกับเรื่องนี้ จึงทำให้คุณภาพของเนื้อเรื่องอาจจะสู้เรื่องก่อน ๆ ไม่ได้ แต่ระหว่างทางก็ยังมีความสนุกให้เห็นตลอดอย่าง ฉากทำให้ตกใจและอึ้งอยู่บ้าง โดยได้ทั้งความฮามาแทรกบ้างโดยที่มุกล้ำมากและฮาจริงๆ โดยเฉพาะสตีฟที่ภาคนี้หนักกว่าซีรีส์ก่อน ๆ อย่างแน่นอน และฉากเศร้า ที่เน้นไปบทสรุปตัวละครอย่างพระเอกของโทรลฮันเตอร์อย่าง จิม มากกว่าตัวละครอื่น ๆ ทำให้บทสรุปของตัวเอกจาก ทรีบีโลว์ และ Wizard อย่างดุซซี่เองก็บทค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ และตอนจบเองก็ทำออกมาค่อนข้างแย่โดยเลือกที่จะทำเป็นปลายเปิด ทำให้อาจจะมีการทำต่อ (ถ้าอยากทำ)

ส่วนฉากแอ็กชั่นต้องยอมรับจริง ๆ ว่ามันถูกยกระดับระดับจากซีรีส์ของเรื่องนี้อย่างมาก ทั้งการต่อสู้ เอฟเฟ็กต์เวทมนตร์ และประกายแสง เรียกได้ว่างบมาทุ่มกับฉากพวกนี้จริง ๆ ต่างจากซีรีส์ที่ฉากแอ็กชั่นทำมาแค่พอพิธีไม่ได้วือหวาอะไรมาก แต่เรื่องนี้กลับทำออกมาได้สนุกมาก ยิ่งฉากการปะทะเหล่าไททันนี้แทบจะเรียกได้เลยว่าเหมือนดูแปซิฟิก ริม เลยทีเดียวก็ว่าได้ เป็นการต่อสู่ระหว่างไคจูกับหุ่นยักษ์ และฉากต่อสู้ครั้งสุดท้ายเองก็ดุเดือดสมเป็นฉากปิดจริง ๆ

โดยรวมนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของจักรวาลอาคาเดียที่ค่อนข้างน่าประทับใจอีกเรื่อง และทำบทสรุปของจิมออกมาได้ค่อนข้างดี แม้ว่าตอนจบของเรื่องจะไม่น่าประทับใจซักเท่าไหร่ แต่โดยรวมยังมีความสนุก ความเพลิดเพลินไปกับเหล่าตัวละครแห่งอาคาเดียอย่างแน่นอน

ซีรีส์ Tales of Acadia อาจจะมีภาคต่อ*สปอยล์*

หลังจากที่ปราบเหล่าจอมเวทย์ได้สำเร็จ แต่สิ่งที่เหล่านักล่าโทรลต้องสูญเสียเองก็มีมิใช่น้อย จิมเลยใช้โครโนสเฟียร์ในการย้อนเวลากลับไปอีกครั้งก่อนที่เขาจะได้รับ เครื่องรางแห่งเมอร์ลิน แต่ว่าในครั้งนี้เขาจะไม่ได้สืบทอดเป็นนักล่าโทรล คนที่จะมาแทนเขาคือ โทบี้เพื่อนสนิทของเขาเอง เพราะว่าจิมเลือกที่จะไปรับบทละคร และส่งโทบี้ไปรับเครื่องรางแทน นี้จึงอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของภาคใหม่อีกครั้งก็ได้ (ถ้าทาง Dreamwork อยากทำต่อ) ยิ่งโทบี้เป็นนักล่าโทรลด้วยมันจะตลกมากแค่ไหนเชียวถ้ามีในภาคต่อไปอีก

เสียงพากย์/บรรยาย: เสียง อังกฤษ/ญี่ปุ่น/เกาหลี/ไทย

บรรยาย: ไทย

ระยะเวลา 1 ชม. 54 นาที

The Devil’s Hour ช่วงเวลาปีศาจ ตี 3.33 นาที ที่เต็มไปด้วยเรื่องเซอร์ไพรส์เกินคาด!